สำนักข่าว TechCrunch ได้รับการยืนยันจาก Disney ว่า หากบริการ Disney+ เปิดตัวแพ็คเกจราคาประหยัดที่มีโฆษณาระหว่างรับชม ตัวแพ็คเกจจะไม่มีการยิงโฆษณาในรายการที่มีเนื้อหาเหมาะกับ Preschooler หรือเด็กวัย 3-5 ปี และจะไม่มีการทำ Targeting หรือโฆษณาที่เหมาะสมกับเด็กแต่ละคนเด็ดขาด
นอกจากนี้ Disney ยังยืนยันว่า แพ็คเกจราคาประหยัดที่มีโฆษณาระหว่างรับชมจะจำกัดโฆษณาให้เฉลี่ยที่ 4 นาที/ชม. โดยแพ็คเกจดังกล่าวจะเริ่มให้บริการในสหรัฐอเมริกาภายในสิ้นปี 2022 ก่อนขยายไปในตลาดอื่น ๆ แต่ถึงตอนนี้ยังไม่มีความชัดเจนว่า แพ็คเกจนี้มีราคาเท่าไร
ดิสนีย์รายงานผลการดำเนินงานประจำไตรมาสที่ 2 ตามปีการเงินบริษัท 2022 สิ้นสุดวันที่ 2 เมษายน 2022 ในภาพรวมบริษัทมีรายได้เพิ่มขึ้น 23% เทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อนเป็น 19,249 ล้านดอลลาร์
Bob Chapek ซีอีโอดิสนีย์ อัพเดตตัวเลขของบริการสตรีมมิ่ง Disney+ ว่ามีสมาชิกใหม่เพิ่มขึ้นในไตรมาสอีก 7.9 ล้านราย ทำให้จำนวนสมาชิกรวมเพิ่มเป็น 137.7 ล้านราย ส่วนซีเอฟโอ Christine McCarthy บอกว่าในครึ่งหลังของปี คาดว่าสมาชิก Disney+ ยังเพิ่มขึ้น แต่จำนวนที่เพิ่มจะไม่มากกว่าครึ่งแรกของปีนัก
ตัวเลขสมาชิก Disney+ ในไตรมาสที่ผ่านมาเป็นที่จับตามอง เนื่องจาก Netflix รายงานผลประกอบการโดยมีจำนวนสมาชิกลดลง 2 แสนราย
ดิสนีย์ประกาศว่าบริการสตรีมมิ่ง Disney+ จะเพิ่มทางเลือกการสมัครใช้งานแบบที่มีโฆษณาแทรก ส่วนแบบไม่มีโฆษณาเดิมก็ยังคงอยู่ โดยจะเริ่มต้นในอเมริกาก่อนเป็นแห่งแรก ช่วงปลายปีนี้ และจะขยายไปยังต่างประเทศในปี 2023
ทั้งนี้แพ็คเกจรับชมแบบมีโฆษณาจะไม่ฟรี แต่มีค่าบริการรายเดือนที่ถูกลง และดิสนีย์ก็อธิบายที่มาของแพ็คเกจแบบนี้ ว่าจะช่วยให้บริษัทไปถึงเป้าหมายที่ต้องการฐานผู้ชม Disney+ เป็น 230-260 ล้านคน ภายในปี 2024
หลังมีข่าว Marvel ถอดซีรีส์ที่ทำร่วมกับ Netflix ออกจาก Netflix หลังสิ้นเดือนนี้ ล่าสุด Disney+ ในแคนาดา ส่งข่าวประชาสัมพันธ์ให้สื่อมวลชน เปิดเผยวันฉายซีรีส์ Moon Knight ของ Marvel พร้อมเปิดเผยว่าซีรีส์ Marvel บน Netflix จะลงฉายใน Disney+ วันที่ 16 มีนาคมนี้
อย่างไรก็ตาม สำหรับ Disney+ Hotstar ในบ้านเรา ยังไม่ชัดเจนว่าจะได้ดูพร้อมกันหรือไม่ แต่ก็มีความเป็นไปได้สูง ส่วนในสหรัฐอเมริกา ผู้ชมน่าจะต้องไปดูในบริการ Hulu แทน เพราะซีรีส์ชุดนี้มีเรทติ้ง TV-MA คือสำหรับผู้ใหญ่ แทนที่จะเป็น TV-14 หรือสำหรับผู้มีอายุ 14 ปีขึ้นไป แบบซีรีส์ Marvel เรื่องอื่นที่อยู่บน Disney+ ในสหรัฐฯ
Disney+ ประกาศขยายพื้นที่ให้บริการอีกรวดเดียว 42 ประเทศ 11 ดินแดน (territory) ส่วนใหญ่อยู่ในแอฟริกา ตะวันออกกลาง ยุโรปตะวันออก และหมู่เกาะต่างๆ ในมหาสมุทรแอตแลนติก แต่ยังไม่ประกาศกำหนดเวลาที่ชัดเจนของแต่ละประเทศ
การขยายประเทศล็อตใหญ่ของ Disney+ น่าจะช่วยให้ตัวเลขสมาชิกเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ ข้อมูลล่าสุดที่ Disney เปิดเผยเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2021 มีสมาชิก 118.1 ล้านรายใน 60 ประเทศ แต่ไตรมาสล่าสุดเติบโตเพิ่มเพียง 2 ล้านรายเท่านั้น
หลังซีรีส์ Hawkeye ออกฉายทาง Disney+ และ Disney+ Hotstar ในบ้านเรา เหล่าคนรักมือถือหลายๆ คนคงสังเกตว่าตัวละครในเรื่องใช้มือถือ Google Pixel แทบจะทุกคน แม้ซอฟต์แวร์จะเป็นแบบคัสตอมจนดูไม่ออกว่าเป็นแอนดรอยด์ แต่รูปลักษณ์เรียบง่ายของมือถือก็ชัดเจนว่าเป็น Google Pixel
ทั้ง Clint Barton หรือ Hawkeye ยังใช้ Google Pixel 3 สี Just Black ที่วางขายในปี 2018 อยู่ ส่วน Laura Barton ภรรยาของ Clint ก็ใช้ Pixel 3 สี Not Pink เช่นกัน แม้ตามเนื้อเรื่องแล้ว เหตุการณ์ในซีรีส์จะเกิดขึ้นหลัง Avengers: Endgame แปลว่าน่าจะเกิดภายในปี 2023 หรือหลังจากนั้นก็ตาม
จากข่าวที่ Disney+ อัพเกรดหนัง Marvel 13 เรื่องให้เป็นสัดส่วน IMAX จนหลายคนสงสัยว่า แล้ว Disney+ Hotstar ที่เปิดใช้งานในไทย จะได้เข้าถึงหนังคุณภาพ IMAX หรือไม่ ล่าสุดมีผู้ใช้งานสามารถดู Shang-Chi and the Legend of the Ten Rings ด้วยคุณภาพ IMAX ได้ แต่ก็มีหลายคนที่ดูไม่ได้ โดยยังคงเป็นสัดส่วนเดิมอยู่
ผลประกอบการไตรมาสล่าสุดของดิสนีย์ เผยว่า สตรีมมิ่ง Disney+ มียอดผู้ใช้งานเพิ่มขึ้น 2.1 ล้านราย ส่งผลให้ตัวเลขรวมเป็น 118.1 ล้านรายทั่วโลก ตัวเลขนี้รวมผู้ใช้งานบริการ Disney+ Hotstar และ Star+ แล้ว ซึ่งถือว่าน้อยกว่าไตรมาสก่อนหน้าที่ได้ผู้ใช้งานเพิ่มขึ้นมา 12 ล้านราย
ดิสนีย์ และ IMAX ร่วมกันปรับปรุงคุณภาพหนัง Marvel บนแพลตฟอร์ม Disney+ ให้มีคุณภาพระดับ IMAX Expanded Aspect Ratio พื้นที่หน้าจอกว้างขึ้น มีผลในวันที่ 12 พ.ย. ซึ่งเป็นวัน Disney+ Day
ตัวหนังที่คนดูจะได้รับชมในคุณภาพ IMAX คือ Ant-Man and the Wasp, Avengers: Endgame, Avengers: Infinity War, Black Panther, Black Widow, Captain America: Civil War, Captain Marvel, Doctor Strange, Iron Man, Guardians of the Galaxy, Guardians of the Galaxy Vol. 2, Shang-Chi and the Legend of the Ten Rings, Thor: Ragnarok
ความคืบหน้าล่าสุดของคดีความระหว่าง Scarlett Johansson นักแสดงนำหนัง Black Widow ฟ้องร้องบริษัทดิสนีย์ จากการสตรีมหนังใน Disney+ ทำให้สูญเสียผลประโยชน์ในฐานะนักแสดง
หลังกระบวนการฟ้องร้องกินเวลาไปร่วมสามเดือน ล่าสุด ตัวแทนของ Johansson ยืนยันกับสื่อหลักหลายแห่ง เช่น The Hollywood Reporter, Variety และ The New York Times ว่า Johansson กับดิสนีย์ได้ทำข้อตกลงระงับการพิพาท ไม่เปิดเผยมูลค่าเงินในข้อตกลง แต่แหล่งข่าวรายหนึ่งระบุกับสำนักข่าว Deadline ว่า มูลค่าเงินในข้อตกลงสูงหลักสิบล้านดอลลาร์
Shang-Chi and the Legend of the Ten Rings หนังฮีโร่มาร์เวลล่าสุดที่กำลังกวาดรายได้ขณะนี้ ใช้โมเดลฉายต่างจาก Black Widow คือฉายในโรงภาพยนตร์ก่อน Disney+
ล่าสุด ดิสนีย์ออกมาประกาศวันฉาย Shang-Chi แล้วเป็นวันที่ 12 พ.ย. ซึ่งเป็นวันที่ Disney+ ขยายสู่ตลาดเอเชียแปซิฟิก จนบริษัทตั้งให้วันนี้เป็นวัน Disney+ Day
ดิสนีย์ประกาศแผนการฉายภาพยนตร์ตามกำหนดที่เหลือในปี 2021 ว่าภาพยนตร์ทุกเรื่องจะฉายในโรงภาพยนตร์ก่อน เพื่อให้ผู้ชมกลับเข้าสู่โรงหนัง จากนั้นภาพยนตร์จึงลงสตรีมมิ่ง Disney+ ในเวลาต่อมา
โดยอนิเมชัน Encanto จะฉายในโรงภาพยนตร์ก่อน 30 วัน จึงลงสตรีมมิ่ง ส่วน The Last Duel, Eternals และ West Side Story จะฉายในโรงภาพยนตร์อย่างน้อย 45 วัน
ก่อนหน้านี้ผลกระทบจากโควิด 19 ทำให้ดิสนีย์เลือกฉายภาพยนตร์แบบพร้อมกันทั้งในโรงหนังและสตรีมมิ่ง เช่น Jungle Cruise, Cruella และ Black Widow ซึ่งเรื่องหลังทำให้นักแสดงนำ Scarlett Johansson ฟ้องดิสนีย์เนื่องจากทำให้ขาดรายได้
Disney+ ได้วันเปิดตัวในเกาหลีเป็น 12 พ.ย. นี้ ราคาอยู่ที่ ราคา 9,900 วอน (278 บาท) ต่อเดือนหรือ 99,000 วอน (2,773 บาท) ต่อปี มีเนื้อหาแบบเต็มทั้งจาก Disney, Pixar, Marvel, Star Wars, National Geographic และ Star โดยเปิดตัวเป็น Disney+ ไม่มีแบรนด์ Hot Star ห้อยท้ายแบบที่เปิดตัวในไทย
สำหรับเนื้อหาของแบรนด์ Star ประกอบด้วยเนื้อหาที่ผลิตโดย Disney Television Studios (ABC Signature and 20th Television), FX Productions, 20th Century Studios, Searchlight Pictures เป็นต้น และจะมีเนื้อหาที่ผลิตจากเกาหลีรวมอยู่ด้วย
มีความคืบหน้าคดีฟ้องร้องโดย Scarlett Johansson นักแสดงนำหนัง Black Widow ฟ้องร้องบริษัทดิสนีย์ จากการสตรีมหนังใน Disney+ ทำให้สูญเสียผลประโยชน์ในฐานะนักแสดง โดยทนายความของดิสนีย์ร้องต่อศาลเพื่อระงับข้อพิพาทหรือ อนุญาโตตุลาการ
เนื้อหาส่วนหนึ่งในคำร้องของทนายความดิสนีย์ระบุว่าตามสัญญาระบุว่า ตัวหนังจะต้องมีการฉายในโรงหนังไม่ต่ำกว่า 1,500 จอ ซึ่งหนังเรื่องนี้เปิดตัวจริงมากกว่า 9,600 จอในสหรัฐอเมริกาและกว่า 30,000 จอทั่วโลก นอกจากนี้ ทนายความของดิสนีย์ยังมีปัญหากับคำกล่าวอ้างของ Johansson ที่ว่าเธอสูญเสียรายได้จากโมเดลฉายหนังคู่กับสตรีมมิ่ง ซึ่งไม่ได้ระบุแน่ชัดในสัญญา
ดิสนีย์รายงานผลประกอบการประจำไตรมาสสิ้นสุดวันที่ 3 กรกฎาคม 2021 โดยบริการวิดีโอสตรีมมิ่ง Disney+ มีผู้จำนวนผู้สมัครใช้งานแบบเสียเงิน 116.0 ล้านบัญชี เพิ่มขึ้นมากกว่าเท่าตัวเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีก่อนที่ 57.5 ล้านบัญชี
อย่างไรก็ตามรายได้เฉลี่ยนั้นลดลง 10% เหลือ 4.16 ดอลลาร์ต่อสมาชิกต่อเดือน ซึ่งสาเหตุหลักมาจากแพ็คเกจ Disney+ Hotstar ในหลายประเทศที่ใช้กลยุทธ์ราคาไม่สูง รวมทั้งประเทศไทยด้วย
ในไตรมาสที่ผ่านมา Netflix รายงานว่าจำนวนสมาชิกทั่วโลกมี 209.18 ล้านบัญชี
Scarlett Johansson นักแสดงนำหนัง Black Widow ฟ้องร้องบริษัทดิสนีย์ จากการสตรีมหนังใน Disney+ ควบคู่ไปกับฉายในโรงภาพยนตร์ ซึ่งอยู่นอกเหนือข้อตกลง และลิดรอนผลประโยชน์ที่เธอควรจะได้ในฐานะนักแสดง
Johansson ระบุว่าค่าตอบแทนหลักของนักแสดงขึ้นอยู่กับรายรับจากบ็อกซ์ออฟฟิศหรือรายได้จากการฉายหนังในโรงภาพยนตร์ เธอยังบอกด้วยว่าดิสนีย์ให้สัญญาว่าจะฉายหนังในโรงก่อนแบบเอ็กซ์คลูซีฟ แต่กลายเป็นว่าดิสนีย์นำหนังฉายผ่านสตรีมมิ่ง Disney+ ไปพร้อมๆ กัน ซึ่งเป็นเรื่องที่อยู่นอกเหนือข้อตกลง
Disney+ Hotstar ในอินเดียเพิ่มแพ็กเกจดูบนมือถือ สำหรับคนที่ไม่มีจอใหญ่ และอยากประหยัดเงิน โดยราคาอยู่ที่ 499 รูปีต่อปี หรือเพียง 220 บาทเท่านั้น ตัวแพ็กเกจมีผลวันที่ 1 กันยายนนี้
ความละเอียดบนมือถือสูงสุดที่ HD นอกจากเนื้อหาออริจินัลแล้ว ยังได้ดูรายการในเครือข่ายอย่าง HBO, FX, Showtime รวมถึงการแข่งขันกีฬาอย่าง Indian Premier League (IPL), English Premier League, F1 เป็นต้น
Black Widow หนังมาร์เวลล่าสุดที่ลงฉายทั้งในโรงภาพยนตร์และบน Disney+ พร้อมกัน โดยใช้วิธีการเช่าดูราคา 30 ดอลลาร์ ราว 978 บาท ผ่านช่องทาง Disney Plus Premier Access ล่าสุด ดิสนีย์ออกมาประกาศว่า ตัวหนังสร้างรายได้เฉพาะบน Disney+ ไป 60 ล้านดอลลาร์หรือเกือบ 2 พันล้านบาท
Nielsen เปิดตัว The Gauge การจัดเรตติ้งการดูเนื้อหาในทีวีทั้งหมด หรือ Total Usage of Television (TUT) เป็นรายเดือน ให้รู้กันไปเลยว่า คนใช้งานสตรีมมิ่งเยอะกว่าเคเบิลทีวีแล้วจริงหรือไม่ โดยแบ่งประเภทเนื้อหาออกเป็นเนื้อหาสำหรับออกอากาศ, สตรีมมิ่ง, เคเบิล และอื่นๆ
จากรายงานใหม่ของ The Gauge ซึ่งจัดเรตติ้งในทีวีสหรัฐฯ พบว่าคนยังคงดูทีวีแบบเก่า คือดูรายการออกอากาศ และเคเบิลทีวี คิดเป็น 25% และ 39% ตามลำดับ ส่วนสตรีมมิ่งนั้นอยู่ที่ 26%
ในอเมริกาผู้ให้บริการสตรีมมิ่งหลายราย เริ่มเพิ่มตัวเลือกค่าสมาชิกรายเดือนที่ถูกลง แต่แลกกับการชมแบบมีโฆษณาคั่นอย่างเช่น HBO Max หรือ Hulu อย่างไรก็ตามคงไม่ใช่กับ Disney+ อย่างน้อยก็ตอนนี้
Bob Chapek ซีอีโอดิสนีย์ได้ไปร่วมงานสัมมนาของ Credit Suisse โดยเขาถูกถามว่า Disney+ มีแผนจะเพิ่มตัวเลือกค่าสมาชิกที่ถูกลงแต่มีโฆษณาหรือไม่ Bob บอกว่ายังไม่มีแผนดังกล่าวตอนนี้ ดิสนีย์ยังพอใจกับรูปแบบค่าสมาชิกที่ทำอยู่ในปัจจุบัน แต่ก็ไม่ปิดกั้นโอกาสในอนาคต
เคาะราคาไทยแล้วสำหรับ Disney+ Hotstar ที่จะเปิดให้ดาวนโหลดแอปและสตรีมอย่างเป็นทางการในวันที่ 30 มิ.ย. นี้ ราคาอยู่ที่ 99 บาทต่อเดือน และ 799 บาทต่อปี และตรงตามข่าวก่อนหน้านี้ที่ดิสนีย์พาร์ทเนอร์กับ AIS มอบราคาพิเศษแก่ผู้ใช้งานเหลือเดือนละ 35 บาทต่อเดือน ยาวนาน 12 เดือน
ลูกค้า AIS สามารถสมัครบริการ Disney+ Hotstar ล่วงหน้าในราคาพิเศษ ตั้งแต่วันที่ 8 - 27 มิถุนายน 2564 โดยระบบจะคิดค่าบริการในวันที่ 29 มิถุนายน 2564
สำนักข่าว Variety รายงานข่าวจากแหล่งข่าวไม่เปิดเผยตัวตน ว่าเมื่อบริการสตรีมมิ่ง Disney+ Hotstar เปิดตัวในไทยวันที่ 30 มิถุนายนนี้ จะเปิดตัวเป็นพาร์ทเนอร์กับผู้ให้บริการเครือข่าย AIS
ในรายงานยังไม่มีข้อมูลเรื่องราคาหรือโปรโมชั่นเพิ่มเติม แต่คาดว่าอาจติดตั้งมาพร้อมกับ AIS Playbox ในอนาคต
ปัจจุบัน AIS Play เป็นพาร์ทเนอร์ทั้งกับ VIU, Netflix, Flixer, WeTV และ beIN Sports ส่วนผู้ใช้งานในมือถือหรืออุปกรณ์อื่นของค่ายอื่น น่าจะสามารถดาวน์โหลดแอป Disney+ Hotstar ได้ตามปกติ
หลังจากรอและลือกันมานาน ล่าสุดในการรายงานผลประกอบการไตรมาสล่าสุดของ Disney ผู้บริหารเปิดเผยกับนักวิเคราะห์ในการรายงานผลประกอบการว่า Disney+ เตรียมจะเปิดตัวในประเทศไทยวันที่ 30 มิถุนายนนี้ ส่วนมาเลเซียที่ประกาศออกมาก่อนหน้านี้จะเป็นวันที่ 1 มิถุนายน
ส่วนราคาค่าสมาชิกรายเดือน น่าจะต้องรอประกาศจากทาง Disney ต่อไป
ที่มา - Reuters
ดิสนีย์รายงานผลประกอบการประจำไตรมาส สิ้นสุดวันที่ 3 เมษายน 2021 โดยดิสนีย์อัพเดตตัวเลขผู้สมัครใช้งาน Disney+ ล่าสุดคือ 103.6 ล้านคน เพิ่มจากตัวเลขก่อนหน้านี้เมื่อเดือนมีนาคมที่บริษัทประกาศว่าครบ 100 ล้านคน และมีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนต่อสมาชิกที่ 3.99 ดอลลาร์ ลดลงเนื่องจากรวมบริการพ่วง Disney+ Hotstar ในตลาดต่างประเทศที่มีค่าสมาชิกถูกกว่าในอเมริกาเข้ามา
กลุ่มธุรกิจที่มี Disney+ นั้น ดิสนีย์เรียกรวมว่ากลุ่ม Direct-to-Consumer ซึ่งมี ESPN+ และ Hulu ด้วย รายได้เฉพาะส่วนธุรกิจนี้ เพิ่มขึ้น 59% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อนเป็น 3,999 ล้านดอลลาร์ และยังขาดทุนจากการดำเนินงาน 290 ล้านดอลลาร์ โดยผู้บริหารคาดว่าจะเริ่มมีกำไรในปี 2024
Bob Chapek ซีอีโอดิสนีย์ เปิดเผยในแถลงการณ์เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ว่า Disney+ บริการสตรีมมิ่งจากดิสนีย์ ปัจจุบันมีผู้ใช้งานกว่า 100 ล้านคนทั่วโลกแล้ว ทะลุเป้าหมายสมาชิก 60 ถึง 90 ล้านคนภายในปี 2024 ที่ดิสนีย์เคยตั้งไว้ได้ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา และทะลุ 100 ล้านคนได้ภายในเพียง 16 เดือน พร้อมกันนี้ดิสนีย์เปลี่ยนเป้าหมายใหม่เป็นการทำยอดสมาชิก 230 ถึง 240 ล้านคน ภายในปี 2024 แทน