Tags:
Node Thumbnail

ยักษ์ใหญ่ในตลาดหุ้นอเมริกาตอนนี้อย่างแอปเปิล ได้ประกาศผลประกอบการไตรมาสล่าสุดซึ่งถือเป็นไตรมาสที่ 4 นับตามปีการเงินของบริษัท ซึ่งมีทั้งส่วนที่ออกมาดีกว่าคาด และส่วนที่ทำได้น่าผิดหวังในมุมมองนักวิเคราะห์ มีรายละเอียดดังนี้ (รายละเอียดของไตรมาสก่อน)

* กำไรสุทธิ 4.31 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าซึ่งอยู่ที่ 3.35 พันล้านดอลลาร์ และ 2.53 พันล้านดอลลาร์จากไตรมาสเดียวกันในปีที่แล้ว เรียกได้ว่าเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง
* รายได้รวม 20.3 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นถึง 67% เทียบกับไตรมาสเดียวกันในปีก่อน
* iPhone ซึ่งถือเป็นกำลังหลักของรายได้ในไตรมาสนี้เนื่องจากเริ่มคิดรวมยอดขายของ iPhone 4 แล้ว โดยจำหน่ายไปได้รวมทั้งหมด 14.1 ล้านเครื่อง เพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวจากไตรมาสเดียวกันในปีก่อน
* iPad ขายได้ 4.2 ล้านเครื่อง ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 4.8 ล้านเครื่อง (ไตรมาสก่อนหน้า iPad ขายได้ 3.27 ล้านเครื่อง)
* แอปเปิลชี้แจงเรื่อง iPad ว่าเกิดจากปัญหาด้านอุปทาน (supply) ในสายการผลิตและจะแก้ไขได้ในไตรมาสนี้
* Mac ยอดขายเพิ่มขึ้น 28% ไปอยู่ที่ 3.89 ล้านเครื่อง
* iPod ขายได้ 9.05 ล้านเครื่อง ซึ่งก็ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 9.6 ล้านเครื่อง
* กำไรขั้นต้นลดลงจากไตรมาสเดียวกันปีก่อน 41.8% มาอยู่ที่ 36.9%
* แอปเปิลคาดการณ์ว่าไตรมาสหน้ากำไรขั้นต้นจะลดลงไปอีก อันเนื่องมาจากจำหน่ายสินค้าที่มีกำไรไม่สูงเป็นจำนวนมากขึ้นอย่าง iPad และ iPod

ในช่วงแถลงข่าวและตอบคำถามหลังแจ้งผลประกอบการซีอีโอ สตีฟ จ็อบส์ ซึ่งปกติไม่ค่อยเข้าร่วมชี้แจงเท่าไหร่นัก ได้ออกมากล่าวสั้นๆว่ายอดขาย iPhone ในไตรมาสนี้สูงกว่า Blackberry ไปแล้วและมองไม่ออกว่า RIM จะไล่ตามยอดขายให้ทันได้อย่างไร

นอกจากนี้ยังให้ความเห็นเกี่ยวกับแท็บเล็ตค่าย Android (ตามข่าวนี้) ว่าแท็บเล็ตขนาด 7 นิ้วนั้นใหญ่มากไปที่จะสู้กับโทรศัพท์ แต่ก็เล็กไปเมื่อเทียบกับ iPad ขนาด 10 นิ้ว

สุทธิตลอดทั้งปีการเงินนั้นแอปเปิลมีรายได้เพิ่มสูงขึ้นถึง 52% เทียบกับปีก่อน สุดท้ายแอปเปิลคาดการณ์ว่าไตรมาสถัดไปจะมีรายได้รวม 23 พันล้านดอลลาร์

ที่มา AP และ Reuters

เพิ่มเติม เนื่องจากผมเขียนข่าวนี้ตอนเช้า เลยยังไม่มีสรุปในส่วน Conference Call ซึ่งผู้บริหารจะถามตอบกับสื่อและนักวิเคราะห์หุ้น ไฮไลท์ปีนี้คือสตีฟ จ็อบส์เข้าร่วมการแถลงด้วย โดยมีเนื้อหาสำคัญจากช่วงชี้แจงและถามตอบดังนี้ ยาวหน่อยนะครับ

  • CFO Peter Oppenheimer กล่าวว่ายอดขายและผลกำไรทุกอย่างทำลายสถิติใหม่ทั้งหมดที่เคยมีมาของบริษัท
  • iPod ยังมีส่วนแบ่งการตลาดสูงถึง 70%
  • iTunes สร้างรายได้ถึง 1 พันล้านดอลลาร์ ขณะที่ iPhone สร้างรายได้ 8.6 พันล้านดอลลาร์ ถ้ารวมอุปกรณ์เสริมจะเป็น 8.82 พันล้านดอลลาร์
  • ยอดขาย iPad ขณะนี้ถือว่าดีกว่า Macs แล้ว
  • การแจก Bumper ใช้เงินไปราว 100 ล้านดอลลาร์
  • บริษัทใน Fortune 500 ราว 80% เริ่มมี iPhone ให้พนักงานใช้ในการทำงานแล้ว ส่วน iPad มี 65% ของบริษัทใน Fortune 100 กำลังทดลองใช้งานอยู่
  • iOS 4.2 จะเปิดตัวในเดือนพฤศจิกายน
  • ผลการดำเนินงานของ iAds ขณะนี้อยู่ในขั้นที่น่าพอใจ (แต่ไม่มีการเปิดเผยตัวเลข)
  • เทียบกับปี 2005 รายได้แอปเปิลเพิ่มขึ้น 5 เท่า ขณะที่กำไรเพิ่มขึ้น 10 เท่า
  • มาถึงบทพูดของสตีฟ จ็อบส์ เขากล่าวถึง RIM ว่าควรเปลี่ยนเป็นบริษัทซอฟท์แวร์ได้แล้ว ขณะนี้พวกเขากำลังถูกท้าทายอย่างหนักในอุตสาหกรรม
  • จ็อบส์บอกว่ายังไม่มีตัวเลขที่ชัดเจนถึงจำนวนอุปกรณ์ Android ที่ขายได้ขณะนี้ และคาดว่าใครจะแพ้ชนะคงได้รู้กันไม่นานนี้
  • จ็อบส์บอกว่าปัญหาของ Android คือความหลากหลายของผู้ผลิตทำให้แนวทางกระจัดกระจาย เขายกตัวอย่าง TweetDeck ซึ่งต้องออกเวอร์ชั่นต่างๆมากถึงกว่า 100 รุ่นเพื่อรองรับความกระจัดกระจายของ Android
  • นอกจากนี้ยังบอกว่าการมี Store กระจายออกไปทั้ง Amazon Verizon และ Voda จะทำให้มันหลากหลายมากเกินไปอีก
  • จ็อบส์ยังเชื่อว่าการรวมศูนย์และเลือกใช้ระบบปิดจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้และนักพัฒนา มากกว่าการกระจายและใช้ระบบเปิดที่กูเกิลทำอยู่
  • จ็อบส์แซวว่ามันเป็นเรื่องตลกมากที่กูเกิลบอกผู้ผลิตแท็บเล็ตไม่ให้ใช้ Froyo
  • จ็อบส์บอกว่าความสำเร็จของ iPad ไม่ใช่คำถามในตอนนี้แล้ว คำถามที่ควรถามคือมันจะส่งผลต่อตลาดพีซีเมื่อใด
  • iPad มี apps ของตัวเองถึง 35,000 apps ขณะที่แท็บเล็ตของ Android ไม่มีเลย
  • ยอมรับว่าตลาดโทรศัพท์ที่ใหญ่ที่สุดยังไม่ใช่ Smartphone แต่ตลาดส่วนนี้จะใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ และจะกลืนกินคู่แข่งกันเอง ในจุดนี้ iPhone และ Android ถือว่าทำได้ดี
  • ตลาดโทรศัพท์มือถือที่ใหญ่ที่สุดคือ Nokia แต่สำหรับแอปเปิลคือสินค้าที่ดีที่สุด คู่แข่งสำคัญวันนี้จึงเป็น Android
  • Nokia ทำโทรศัพท์มือถือได้ราคา 50 ดอลลาร์ แต่แอปเปิลไม่ฉลาดพอที่จะทำโทรศัพท์มือถือที่ดีพอได้ในราคานั้น

เพิ่มเติมจาก TiPB

Get latest news from Blognone

Comments

By: platalay
iPhoneWindows PhoneAndroidWindows
on 19 October 2010 - 08:28 #221888

ผมอยากเปิดพอร์ตที่ usa จังเลย แล้วต้องใช้เงินซักกี่ล้านถึงจะพอหว่า

จะซื้อมันแค่ 2 ตัวแค่นั้นแหละ apple+google

By: arjin
WriteriPhoneWindows
on 19 October 2010 - 09:56 #221905 Reply to:221888
arjin's picture

เปิดได้นะครับ มีหลายบล.ในไทยที่ให้บริการซื้อขายหุ้นต่างประเทศ แต่ถ้าว่าการตามจริงหุ้น Apple ได้แสดงความเป็น Super Stock ไปเยอะมากแล้ว ดูราคาสองสามปีย้อนหลังได้ครับ

By: neizod
ContributorTraineeIn Love
on 19 October 2010 - 16:53 #222116 Reply to:221905
neizod's picture

งั้นก็ต้องเล่นรอบ รอจังหวะประกาศผลประกอบการประจำไตรมาสเอา

By: manow on 19 October 2010 - 08:45 #221893

เปิดได้นะครับ ใครที่ไหนในโลกก็ลงทุนในตลาดไหนในโลกได้ครับ

แต่หลังจากประกาศผล หุ้นก็ตกตามคาด เพราะนักวิเคราะห์บอกว่า iPad ขายได้ไม่ตามคาด = ='

By: pizzicato
ContributoriPhoneUbuntu
on 19 October 2010 - 10:26 #221919 Reply to:221893
pizzicato's picture

เหมือนจะตก แต่มีแรงซื้อขึ้นมาช่วงท้ายคับ : )
http://finance.yahoo.com/q?s=aapl&d=t


positivity

By: arjin
WriteriPhoneWindows
on 19 October 2010 - 11:04 #221942 Reply to:221919
arjin's picture

ถ้าช่วงท้ายตลาดทางการราคาไล่ขึ้นครับ แต่พองบออกแล้ว ตอน extended hours หรือช่วงซื้อขายหลังปิดตลาดทางการ ราคาหุ้นร่วงลงเฉลี่ย $20 ครับ แต่ราคาสวิงมาก คงต้องรอดูภาพใหญ่วันนี้อีกที

By: pizzicato
ContributoriPhoneUbuntu
on 19 October 2010 - 12:51 #222002 Reply to:221942
pizzicato's picture

คับบ แต่ผมขอลุ้นว่าวันนี้คงขยับขึ้นเป็นแน่แท้คับ เพราะกราฟมันเป็น bullish แล้วอ่ะ : )


positivity

By: arjin
WriteriPhoneWindows
on 19 October 2010 - 14:08 #222024 Reply to:222002
arjin's picture

ระยะกลางมัน Bull แน่ๆครับ เพราะทรงกราฟยังดี แต่พูดถึงแค่ว่าผลประกอบการมันออกมา quite disappoint น่ะ ก็คงมีพักฐานให้เห็น

...เอิ่ม blognone หรือสินธรเนี่ย...

By: lingjaidee
ContributoriPhoneAndroid
on 19 October 2010 - 10:25 #221918
lingjaidee's picture

.. มองไม่ออกว่า RIM จะไล่ตามยอดขายให้ทันได้อย่างไร

Jobs นี่ยิ่งแก่ยิ่งทำตัวไม่น่ารักเลย .. แม้ว่าจะควบคุมการสร้างผลิตภัณฑ์ได้ดีก็ตาม ;(


my blog

By: joomla
iPhoneUbuntu
on 19 October 2010 - 10:28 #221922 Reply to:221918
joomla's picture

อาจจะเป็นเพราะว่าตัวเองก่อกำแพงไว้สูงจนไม่สามารถมองเห็นสิ่งที่อยู่ภายนอกได้

By: GeBaN on 19 October 2010 - 11:30 #221952 Reply to:221918

บอกเป็นนัยๆ ว่า ให้ Rim เลิกขายเครื่องมาทำ App
ลง Appstore ขายดีกว่าหรือเปล่านั่น 555

By: alcanfane
iPhoneWindows PhoneAndroid
on 19 October 2010 - 12:03 #221976 Reply to:221952
alcanfane's picture

เหมือนจ๊อบส์จะกล่าวว่า ท้ายที่สุดแล้ว RIM จะกลายเปนบริษัท software ครับ

"we've now passed RIM and I don't see them catching up in the forseeable future. They must move beyond their comfort area and become a software platform company"

จาก engadget ครับ

By: joomla
iPhoneUbuntu
on 19 October 2010 - 10:26 #221921
joomla's picture

ผมละชื่นชอบกับดีไซน์และสไตล์ของแอปเขียว ไม่ว่าจะเป็นไอโฟน ไอพอด แมคบุค
แต่ละรุ่นสร้างกระแสให้กับวงการได้ดี น่าจะเรียกว่าผู้นำแฟชั่นก็ว่าได้
ถ้าคุณภาพของวัสดุหรือไม่มีปัญหาทางด้านเทคนิคแอปเขียวน่าจะกระฉูดกว่านี้เยอะ

เอาใจช่วยนะ แต่ยังใช้วินโดว์กับลีนุกซ์อยู่

By: kurosame
ContributoriPhone
on 19 October 2010 - 11:01 #221940
kurosame's picture

ขอมองว่ายอดขายสินค้าไม่ได้บอกอะไรเกี่ยวกับสินค้าได้เท่าไหร เพราะเคยได้ยินมาว่า คนที่ตัดสินใจซื้อสินค้า
80% เพราะคนขาย ส่วนที่เหลือคือตัวสินค้าเองต่างหาก

iPad อาจไม่ใช่นวัตกรรมอะไรใหม่แต่ภาษีแอปเปิ้ลดีกว่าตรงที่แสดงให้เห็นว่า iPhone รุ่นแรกประสบความสำเร็จ ผมว่าความไว้ใจในตัวผู้ซื้อมีผลต่อการซื้อสินค้ามาก บางคนก็ถึงขั้นศรัธทาก็มีให้เห็นเรื่อยๆ

ผมเชื่อว่าถ้าแอปเปิ้ลจะขาย iBrick ยังไงก็มีคนซื้อ :D


{$user} was not an Imposter

By: errin on 19 October 2010 - 16:02 #222077 Reply to:221940

แต่ Apple TV ตัวแรก ยอดขายย่ำแย่นะครับ

By: alcanfane
iPhoneWindows PhoneAndroid
on 19 October 2010 - 16:27 #222096 Reply to:222077
alcanfane's picture

ตัวนี้ก็คงไม่ต่างกันเท่าไรคับ ถึงจะขายไป 250,000 ตัวแล้ว

แต่ในระยะยาวแล้วยังดูมีแรงดันไม่พอ

By: kurosame
ContributoriPhone
on 19 October 2010 - 18:21 #222123 Reply to:222077
kurosame's picture

80% นั้นขึ้นอยู่กับสิ่งที่ขายด้วย ผมมองเป็นฟังก์ชั่น 2 ตัวแปรครับ

ประมาณนี้
* iPhone4 sale = Credit(Apple,Phone)*0.8 + Credit(iPhone4)*0.2
* Apple TV sale = Credit(Apple,Streaming Media)*0.8 + Credit(Apple TV cur version)*0.2

จะเห็นว่าคุณจะใส่ Credit(Apple,XXX) ไม่เท่ากันแรงเหวี่ยงต่อสินค้าทั้ง 2 ชนิดไม่เท่ากันแน่ๆ ถึงจะเป็นผู้ขายคนเดียวกัน อีกประเด็นคือผมพูดถึงผู้ขายไม่ใช้ผู้ผลิต(ถึงแอปเปิ้ลจะเป็นทั้ง 2 อย่าง) ผู้ขายหรือ Marketing มีหน้าที่เจาะตลาดผู้ซื้อในตลาดของตัวเอง กลับไปที่ข้อข้างบนก็จะเห็นว่าตลาดของ 2 ข้อไม่เท่ากัน ผมเลยคิดว่า 80% ที่บอกไปตอนแรกไม่เท่ากันครับ

คิดง่ายๆให้ Apple ขายน้ำยาล้างจาน คุณจะไว้ใจโดยบริสุทธิใจมั้ย
เป็นผมๆ ผมยังไม่ให้เครดิต Apple ในตลาดน้ำยาล้างจานนะครับ แต่ของแบบนี้มันสร้างกันได้


{$user} was not an Imposter

By: GeBaN on 19 October 2010 - 11:39 #221959

แต่ยอดขายสินค้า Margin ต่ำไม่ดีแล้วหุ้นตก นี่ก็ตลกแปลกๆนะ
ทำไม นักลงทุนไม่มองว่า สำหรับสินค้าที่ MArgin สูงๆตัวอื่นมันขายดีขึ้นมาก น่าจะดูเป็นประโยชน์ต่อกระแสเงินสดของบริษัทมากกว่า หรือว่า เค้ามองว่า gross profit มันลดลง แต่ก็อย่างว่าแหละเปลี่ยนวัสดุ
(Model Change ทีมันก็ทำให้ COGS เปลี่ยนไปจากเดิมอยู่ละจะลดลงย่อมไม่แปลก แต่ถ้าลดมากเกินก็น่าคิดอยู่)

แต่ถ้าลดลงมาก Apple น่าจะไป Take Over เจ้าอื่นต่อแทน เพื่อที่จะได้ลดต้นทุนสินค้าลงได้
ไหนๆก็ขายได้เยอะมากขนาดนี้ เหมือนที Boeing ทำตอนผลิต 777 Suppliers รายไหนมีปัญหาในการส่งของ
ก็เข้าซื้อซะเลย จะได้ไปคุมได้เองเรื่องกระบวนการภายใน

By: ninja741 on 19 October 2010 - 12:42 #221992 Reply to:221959

ราคาหุ้นมันไม่ได้สะท้อนสถานการณ์จริงของบริษัทอย่างเดียว มันสะท้อนสิ่งที่นักลงทุน "คิด" ว่ามันน่าจะเป็นด้วย

สมมุตินักลงทุนคิดว่าสินค้าแต่ละตัวจะกำไรเท่าไหร่ ราคาหุ้นมันก็ reflex ไปแล้ว พอมันไม่ได้เป็นแบบนั้นจริง มันก็ตกลงเป็นธรรมดา

ที่จริงวิธีต้นทุนแพง ให้ takeover supplier พวกอาจารย์ IE,business ชอบพูดกรอกหูนิสิต เดี๋ยวนี้เค้าเลิกใช้แล้วครับ เดาว่าถ้าไม่เจออาจารย์ไดโนเสาร์ หรือไม่ก็เรียนจบมานานแล้วแหงๆ :P

By: GeBaN on 19 October 2010 - 13:13 #222011 Reply to:221992

จบวิชาตัวนั้นมาสอง สามปีละครับ
แต่ตอนนี้เรียนโท การเงินแทน บัญชีอยู่ O-o
แต่อย่างว่า ผมก็ลืมไปว่า Apple นี่ supplier แทบจะกราบเท้ามาขอขายของด้วยอยู่แล้ว
เพราะงั้น ไปๆมาๆ อำนาจต่อรองเหนือกว่าซื้อบริษัทอยู่แล้วนี่นา

ส่วนเรื่องราคาหุ้นนี่ ผมอาจจะมองเป็นสายการเงิน + บัญชีมากไปมั้ง
เพราะผมเน้นมองการเติบโตของ ROE/ROA การประเมินมูลค่า DCF
จนบางทีผมยังสงสัย ว่า ราคาของหุ้นที่ ROA/ROE ต่ำติดดินถึงอนาคตมันจะดีขึ้นมาก
แต่มันก็ยังสู้พวกที่ ROE/ROA สูงๆที่ราคาต่ำกว่ามูลค่าไม่ได้

แต่พอมาสังเกตตลาดจริงๆ บางบริษัท งบแทบไม่ดีขึ้น แต่แค่มีข่าว
ราคากลับ วิ่งมากกว่าบริษัทที่ Roe สูงขั้นเทพไปสบายๆ
ตัวอย่างในตลาดไทยที่ผมเห็นก็พวก Sta กับ PTT ตัวหลังนี่ราคาวิ่งตามราคาน้ำมัน
โดยยังไม่ทันดูการเติบโตของกำไรด้วยซ้ำ -*-

By: lawender
ContributoriPhoneAndroidWindows
on 19 October 2010 - 14:24 #222033 Reply to:222011

ไม่ต้องใช้ตัวย่อเยอะขนาดนี้ก็ได้ครับ ถ้าอยากสื่อว่ารู้จริง

By: GeBaN on 19 October 2010 - 14:33 #222040 Reply to:222033

ขอโทษด้วยครับ ที่ใช้พวก ROE/ROA และ COGS ครับ

สำหรับ COGS = Cost of goods sold =ต้นทุนขาย
DCF = Discount Free cash flow =การประเมินมูลค่าจากการคิดลดกระแสเงินสดที่จะเกิดในอนาคตของบริษัทกลับมาเป็นมูลค่าปัจจุยัน
สองตัวนี้เป็นสายบัญชีมากไปหน่อยขอโทษที่ใช้ข้ามสายเกินไปครับ

ส่วน ROE = Return On Euity
กับ ROA = Return On Asset
เป็นศัพท์ทั่วไปในเรื่องของหุ้นนะครับ ขอโทษด้วยที่ไม่ได้อธิบาย
เพราะ ผมอาจจะเข้าใจไปเองว่า หัวข้อแบบนี้ศัพท์พวกนี้เป็นเรื่องปกติ

By: neizod
ContributorTraineeIn Love
on 19 October 2010 - 17:06 #222124 Reply to:222033
neizod's picture

ลบๆๆ

By: DoraeMew
AndroidSymbianUbuntuWindows
on 20 October 2010 - 21:37 #222757 Reply to:222033

ย่อเหอะ ดีแล้ว เห็นเต็มๆ แล้วยิ่งปวดตรั่บ ลำบากจะเรียกเต็มด้วย -*-

By: lawender
ContributoriPhoneAndroidWindows
on 19 October 2010 - 14:24 #222031

อืม