นอกจาก Cardboard ที่เป็นของแจกชิ้นแรกแล้ว ของแจกชิ้นต่อมาคือ Android Wear คนละสองเรือน โดยเรือนแรกจะให้ผู้เข้างานเลือกระหว่าง LG G Watch หรือ Samsung Gear Live ที่ประกาศวางขายเลย ส่วนเรือนที่สองจะเป็น Moto 360 ซึ่งทุกคนที่เข้าไปฟัง Keynote ในวันแรกจะได้รับหลังจากที่โมโตโรล่าประกาศขาย Moto 360 อย่างเป็นทางการแล้วครับ
รวมมูลค่าของแจกจริงๆ ตอนนี้ก็ 400 ดอลลาร์สหรัฐฯ เข้าไปแล้วครับ
ที่มา - The Verge, Google I/O 2014 Keynote
ในงาน Google I/O ปีนี้ นอกจากจะขนของใหม่มาเปิดตัวมากมาย (ติดตามได้จากหมวดข่าว Google I/O ได้ครับ) Google เอง ยังถือโอกาสเปิดตัว Google Fit Platform ตามข่าวลือก่อนหน้า
กล่าวโดยภาพรวม Google Fit Platform เป็นแพลตฟอร์มที่ออกแบบมาสำหรับการเก็บข้อมูลด้านสุขภาพ (เช่น น้ำหนัก ส่วนสูง การนอนหลับ การเต้นของหัวใจ) ทั้งจากตัวโทรศัพท์มือถือเอง และอุปกรณ์ต่อพ่วง โดยเปิดโอกาสให้แอพต่างๆ สามารถเรียกข้อมูลเหล่านี้ได้จาก API ของแพลตฟอร์ม และสามารถเลือกที่จะอนุญาตหรือลบข้อมูลย้อนหลังเหล่านี้ได้ (แบบเดียวกับ Healthkit ของ iOS และ SensorCore ของ Windows Phone)
ในประเทศไทย Google Play Carrier Billing เพิ่งเจอเรื่องร้ายหมาดๆ แต่ในงาน Google I/O กูเกิลกลับประกาศข่าวดี (หรือร้ายกว่าเก่า?) ว่าตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ผู้ใช้สามารถใช้งาน Google Play Carrier Billing บนแท็บเล็ตได้แล้ว (ทั้งแท็บเล็ตใส่ซิมได้ และแท็บเล็ตที่เป็น Wi-Fi อย่างเดียว) โดยสามารถใช้งานร่วมกับบัญชีเดียวกันบนสมาร์ทโฟนได้เลย และสามารถใช้งานได้พร้อมกันใน 25 ประเทศที่มีการเปิดให้บริการอยู่ นั่นก็รวมถึงของเอไอเอสที่มีปัญหาในช่วงนี้ด้วย
งาน Google I/O มีธรรมเนียมตามกันมาคือต้องมีของแจกชิ้นใหญ่ท้ายงาน (จนหลายครั้งเกินค่าเข้างาน) เสมอๆ แต่ปีนี้กูเกิลแจกของชิ้นแรกเป็นกล่องกระดาษ หน้าตาแปลกๆ กล่องหนึ่ง แล้วขึ้นจอในงานว่า #cardboard
แม้จะดูงงๆ แต่ที่จริงแล้ว Cardboard คือแว่นตาสามมิติ ทำงานร่วมกับ VR Toolkit เพื่อแสดงภาพสามมิติผ่านโทรศัพท์มือถือ
งาน Google I/O 2014 ที่เพิ่งจบไปเมื่อสักครู่ ไม่ได้ราบรื่นไปเสียทีเดียว เมื่อมีการประท้วงโวยวายจากผู้เข้าชม Keynote ถึงสองครั้ง คนละเวลาและโอกาส โดยต่างคนต่างแสดงความไม่พอใจแตกต่างกันไป
คนแรกลุกขึ้นโจมตี Urs Hölze รองประธานอาวุโสด้านโครงสร้างพื้นฐานทางเทคนิค ขณะที่เขากำลังบรรยายเกี่ยวกับแพลตฟอร์มคลาวด์ และโจมตีทาง Google ไปพร้อมกันว่า "พวกแกทำงานให้บริษัทเผด็จการที่จะสร้างหุ่นยนต์ขึ้นมาฆ่าคน" (You all work for a totalitarian company that builds machines that kill people!)
กูเกิลแสดงความสามารถ Chrome OS ที่จะสามารถทำงานร่วมกับแอนดรอยด์ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ได้แก่ สามารถแสดง notification จากโทรศัพท์, การปลดล็อก Chromebook ด้วยโทรศัพท์, และการรันแอพพลิเคชั่นแอนดรอยด์บน Chrome OS
กูเกิลไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดมากนัก โดยเฉพาะแอพพลิเคชั่นแอนดรอยด์จะรันบน Chrome OS ได้ทุกตัวทันทีหรือไม่ ในงานสาธิตแอพพลิเคชั่นเพียงไม่กี่ตัว ได้แก่ Evernote, Vine, และ Flipboard อย่างไรก็ดี กูเกิลสาธิตแอพพลิเคชั่นจาก Android 4.4 ไม่ใช่ Android L
อย่างไรก็ดี API ของแอพพลิเคชั่นแอนดรอยด์ที่ทำงานบน Chrome OS จะทำงานได้เหมือนกับรันบนแอนดรอยด์เอง ทำให้สามารถเรียก API ที่ใช้ฮาร์ดแวร์ เช่นกล้องขึ้นมาทำงานได้
หลังจากบากบั่นบุกห้องนั่งเล่นด้วย Google TV มาหลายปี วันนี้กูเกิลเปิดแผนใหม่เพื่อบุกตลาดนี้อีกครั้ง ด้วยชื่อที่ร่ำลือกันมาได้ซักพักอย่าง Android TV นั่นเองครับ
Android TV เป็นแพลตฟอร์มใหม่สำหรับใช้งานร่วมกับโทรทัศน์โดยเฉพาะ ภาพรวมของแพลตฟอร์มนี้คือการนำคอนเทนต์ และบริการบน Play Store มาจัดให้เข้ากับหน้าจอโทรทัศน์ ซึ่งทั้งหมดสั่งการได้ด้วยแป้น D-Pad และเสียงเท่านั้น
คล้อยหลังจากที่กูเกิลเปิดตัว Android TV ไป Razer ผู้ผลิตอุปกรณ์เกมชื่อดังก็ประกาศทำ micro-console with Android TV แทบจะทันที โดยความสามารถขั้นต้นของคอนโซลตัวนี้ก็คือสามารถใช้สตรีมภาพยนตร์ เพลง ไฟล์วิดีโอ หรือเล่นเกมพร้อมกันสองจอตามความสามารถของ Android TV ได้
อย่างไรก็ดีรายละเอียดในส่วนอื่นๆ ของ micro-console ตัวนี้ยังไม่ได้รับการเปิดเผย แต่ขั้นต้นมีการคาดการณ์ว่ารูปแบบน่าจะเหมือนกับ Amazon Fire TV ที่เพิ่งจะเปิดตัวไปเมื่อเร็วๆ นี้เช่นกัน
ทั้งนี้ Razer micro-console ตัวนี้จะเริ่มวางขายอย่างเป็นทางการปลายปีนี้ครับ
ที่มา - Engadget
หลังจากเปิดตัวอย่างเป็นทางการไปเกือบปี วันนี้ Google ใช้เวที Google I/O 2014 แถลงเพิ่มคุณสมบัติให้กับ Chromecast ชุดใหญ่ ซึ่งประกอบไปด้วย
เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมากูเกิลได้ประกาศเปิดตัว Android Wear แพลตฟอร์มสำหรับอุปกรณ์สวมใส่ทุกชนิดอย่างเป็นทางการ ซึ่งจะสามารถใช้งานได้ทั้งแว่นตาอย่าง Google Glass ไปจนถึงสมาร์ทวอทซ์ ในงาน Google I/O 2014 ครั้งนี้ กูเกิลก็ได้อัพเดตความคืบหน้าของโครงการ Android Wear อย่างเป็นทางการ
Android Wear ที่มาเปิดตัวในรอบนี้สามารถจัดการรายละเอียดการแจ้งเตือนต่างๆ จากตัวเครื่องได้ดีมากขึ้น และยังสามารถติดต่อกับฮาร์ดแวร์ได้เที่ยงตรงมากขึ้น ที่สำคัญ Android Wear เวอร์ชันนี้ รองรับการใช้งานร่วมกับฮาร์ดแวร์และเซ็นเซอร์สุขภาพต่างๆ ได้ดีขึ้น เช่นตัวอ่านอัตราการเต้นของหัวใจ เซ็นเซอร์สำหรับนับก้าว เป็นต้น
เปิดตัวตามข่าวลือ สำหรับระบบปฏิบัติการในรถยนต์ และทาง Google ใช้ชื่อว่า Android Auto โดยระบบปฏิบัติการนี้มี 3 ฟีเจอร์หลักคือระบบนำทาง (แน่นอนว่าผ่าน Google Maps) , การติดต่อสื่อสาร และการเล่นเพลง และที่สำคัญคือพร้อมรับคำสั่งเสียงตลอดเวลา
Android Auto ไม่ใช่ระบบที่ทำงานแยกต่างหาก (standalone) ในรถยนต์ แต่จำเป็นต้องอาศัยสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์ในการทำงาน พูดอีกอย่างคือเสมือนยกแอนดรอยด์ขึ้นไปทำงานบนคอนโซลรถยนต์ และตัดให้เหลือเพียงระบบแผนที่และความสามารถในการนำทาง โทรศัพท์และเล่นเพลง โดยสั่งงานผ่าน Google Now เท่านั้น (ใช้อินเตอร์เฟซของ Google Now)
นอกจาก LG G Watch และ Moto 360 ที่เปิดตัวไปเมื่อเดือนมีนาคม วันนี้ในงาน Google I/O มีการเปิดตัว Samsung Gear Live ที่เป็นไปตามข่าวลือก่อนหน้า
Google ยังเผยกำหนดการวางจำหน่ายด้วย โดย LG G Watch และ Samsung Gear Live จะเปิดให้สั่งจองผ่านทาง Google Play Store ภายในเย็นวันนี้ ตามเวลาของสหรัฐอเมริกา และ Moto 360 ในช่วงปลายหน้าร้อนของสหรัฐฯ
ทั้งนี้ยังไม่มีการเปิดเผยสเปคของนาฬิกาทั้งสามอย่างเป็นทางการในงานแต่ประการใด
ที่มา - Google I/O 2014 Keynote, The Verge
ภาพจาก The Verge
บนเวที Google I/O กูเกิลปล่อยพรีวิวของระบบปฏิบัติการ Android เวอร์ชันใหม่อย่าง "L" รุ่นนักพัฒนาที่จะเปิดให้ดาวน์โหลดกันเร็วๆ นี้
L คือโค้ดเนมของ Android รุ่นใหม่ (ที่ยังไม่รู้ว่าจะใช้เลข 5.0 หรือไม่) ที่กูเกิลระบุว่าเป็นการคิดใหม่เพื่อสร้างประสบการณ์ใช้ Android ให้ก้าวไปอีกขั้น โดยเน้นไปที่การทำให้ Android ใช้งานได้ไม่ว่าจะบนหน้าจอใดๆ และผ่านอะไร (โมบายล์ เดสก์ท็อป หรือแม้แต่บนเว็บ) ด้วยการออกแบบใหม่ที่เรียกว่า "Material Design" ที่ได้แรงบันดาลใจจากกระดาษ และหมึก ออกมาเป็นส่วนติดต่อผู้ใช้ซึ่งเน้นรูปทรงเรขาคณิต เส้นตรง แสงเงา และสีสันสดใส พร้อมฟีเจอร์ใหม่สำหรับนักพัฒนา "palette" ที่ช่วยเลือกสีให้เหมาะกับส่วนติดต่อผู้ใช้อัตโนมัติ
กูเกิลประกาศในงาน Google I/O 2014 ว่า Android รุ่นหน้ารหัส L จะเปลี่ยนมาใช้รันไทม์ ART แทน Dalvik อย่างเป็นทางการแล้ว
หนึ่งในฟีเจอร์ในแอนดรอยด์เวอร์ชันใหม่รหัส "L" นี้เรียกว่า Personal Lock สำหรับช่วยให้เจ้าของเครื่องสะดวกในการปลดล็อกสมาร์ทโฟน โดยไม่จำเป็นต้องใส่รหัสให้ยุ่งยาก ด้วยการตั้งค่าสถานที่, อุปกรณ์ที่เชื่อมต่อบลูทูธ, หรือเสียงตัวเจ้าของ ในการข้ามการใส่รหัสเพื่อปลดล็อก
หากตัวสมาร์ทโฟนไม่ได้อยู่ในสถานที่ที่ตั้งไว้ ไม่มีอุปกรณ์บลูทูธที่ตั้งไว้อยู่ในระยะ หรือเสียงที่สั่งไม่ใช่ตัวเจ้าของ การปลดล็อกจะต้องใส่รหัสเช่นเดิม
ทั้งนี้ฟีเจอร์ปลดล็อกด้วยการใช้อุปกรณ์บลูทูธที่จับคู่กับสมาร์ทโฟนนี้ ทางโมโตโรล่ามีฟีเจอร์นี้อยู่แล้วใน Droid เวอร์ชันปี 2012, 2013, Moto X และ Moto G
วันนี้ที่งาน Google I/O Sundar Pichai รองประธานของ Google ที่รับผิดชอบ Android ใช้เวทีในงานเปิดตัวโครงการ Android One ที่เป็นโครงการในลักษณะเดียวกับโทรศัพท์มือถือ Google Play Edition เพียงแต่เจาะตลาดสำหรับประเทศที่กำลังพัฒนา และมีแบบที่ออกแบบไว้ล่วงหน้าสำหรับผู้ผลิต (Reference Design Platform) สำหรับนำไปผลิต
Sundar Pichai เปิดงาน Google I/O 2014 ด้วยสถิติของ Android ดังนี้
บทสัมภาษณ์ Sundar Pichai ของ Businessweek (อันเดียวกับข่าวนี้และข่าวนั้น) ยังเผยเบื้องหลังของการเปลี่ยนตัวผู้คุมทีม Android เมื่อปี 2013 ที่ Andy Rubin บิดาแห่ง Android ลงจากตำแหน่ง และเปลี่ยนมาเป็น Sundar Pichai เข้ามาคุมแทน
Sundar Pichai หัวหน้าทีม Android ให้สัมภาษณ์กับนิตยสาร Businessweek (บทสัมภาษณ์เดียวกันกับข่าวนี้) ว่างาน Google I/O คืนนี้เขาจะ "โชว์" ข้อมูลของ Android รหัส L อย่างแน่นอน
เดิมทีกูเกิลมักเปิดตัว Android รุ่นใหม่ช่วงครึ่งหลังของปี (ประมาณเดือนกันยายน-ตุลาคม) ซึ่งผู้ผลิตฮาร์ดแวร์บ่นว่าช้าเกินไปสำหรับการเตรียมมือถือรุ่นใหม่มาขายช่วงปลายปีที่เป็นเทศกาลซื้อของในโลกตะวันตก รอบนี้ Pichai จึงระบุว่าจะเผยให้โลกรู้เร็วกว่าเดิมว่า Android รุ่นหน้าเป็นอย่างไร แต่จะเป็นการโชว์เวอร์ชันพรีวิวเท่านั้น
บริษัทวิจัยตลาดแอพมือถือ App Annie ออกรายงานสถิติของ Google Play Store (ไม่ใช่ข้อมูลอย่างเป็นทางการของกูเกิลเอง) มีสถิติที่น่าสนใจดังนี้
กูเกิลปรับปรุงฮาร์ดแวร์ Google Glass เวอร์ชันใหม่รับงาน Google I/O โดยเพิ่มแรมจาก 1GB เป็น 2GB และเพิ่มแบตเตอรี่ให้ใหญ่ขึ้นเล็กน้อย เมื่อผนวกกับการปรับปรุงด้านซอฟต์แวร์แล้วทำให้แบตอึดกว่าเดิม 15%
Steve Lee ผู้บริหารของกูเกิลระบุว่าการที่ Glass มีแรมเพิ่มขึ้นจะช่วยให้รันแอพพร้อมกันได้เยอะขึ้น และเรียกแอพขึ้นมาได้เร็วกว่าเดิม
นอกจากนี้ในส่วนของซอฟต์แวร์ กูเกิลยังปรับปรุงการถ่ายภาพให้แสดงกรอบ viewfinder ที่มุมทั้งสี่ของจอ, เพิ่มฟีเจอร์ Google Now ให้แสดงที่จอดรถและสถานะการส่งพัสดุอีกด้วย
กูเกิลเตรียมเปิดบริการ Google Domains โดยตอนนี้ยังเป็นช่วงทดลองที่เปิดให้เฉพาะผู้ได้รับเชิญเท่านั้น
บริการนี้ไม่ต่างจากบริการรับจดโดเมนทั่วไปนัก สิ่งที่ต่างกันคือบริการปกปิดชื่อผู้จดโดเมนฟรี ขณะที่ผู้ให้บริการรายอื่นๆ มักฟรีเฉพาะปีแรก, บริการส่งต่ออีเมลได้ 100 ชื่อ, และระบบ DNS จะอยู่บนเครือข่ายของกูเกิล
ก่อนหน้านี้บริการของกูเกิลหากต้องการใช้กับโดเมนของเราเองจะต้องจดโดเมนผ่านคู่ค้าของกูเกิล เช่น GoDaddy หรือ eNom บริการ Google Domains จะทำให้ลูกค้าของกูเกิลสามารถซื้อบริการทีเดียวได้ครบทั้งชุด
หลังจากวางขาย Google Glass เฉพาะในสหรัฐอเมริกาประเทศเดียวมานาน กูเกิลก็ได้ฤกษ์ขยับขยายออกมายังประเทศอื่นๆ สักที โดยเริ่มจากสหราชอาณาจักรเป็นประเทศแรกครับ
Google Glass เวอร์ชันที่วางขายจะเป็นรุ่น Explorer Program (แต่นับเป็น revision ที่ห้านับจากรุ่นแรกสุด) ซึ่งแน่นอนว่าราคาแพงระยับที่ 1,000 ปอนด์ หรือราว 55,000 บาท
การวางขาย Google Glass อย่างเป็นทางการในสหราชอาณาจักร ทำให้หน่วยงานและบริษัทต่างๆ เริ่มพิจารณาว่าควรออกนโยบายห้ามสวม Glass ในพื้นที่ของตัวเองหรือไม่ ซึ่งจากการสำรวจของ BBC ก็พบว่าบริษัทส่วนใหญ่อนุญาตให้สวมใส่ได้แต่ห้ามถ่ายภาพหรือวิดีโอ ยกเว้นโรงภาพยนตร์ Vue ที่ห้ามใส่ Glass ขณะภาพยนตร์กำลังฉาย
ข่าวน่าประทับใจเมื่อสัปดาห์ที่แล้วครับ มีเด็กหญิงชื่อ Katie ซึ่งเป็นลูกสาวของพนักงานกูเกิลรายหนึ่ง เขียนจดหมายถึงกูเกิลด้วยดินสอสี ขอให้พ่อของเธอได้หยุดงานวันพุธเนื่องจากเป็นวันเกิดของเขา แถมช่วงนี้ยังเป็นฤดูร้อน (ที่อากาศดีและครอบครัวจะได้อยู่ร่วมกัน)
ที่ไม่ธรรมดาคือ Daniel Shiplacoff (ซึ่งน่าจะเป็นเจ้านายของพ่อ) เขียนจดหมายตอบกลับว่าขอบคุณที่พ่อของเธอทำงานหนัก ออกแบบผลิตภัณฑ์สวยงามให้กูเกิลมาตลอด กูเกิลจึงพิจารณาให้วันหยุดเพิ่ม 1 สัปดาห์ในช่วงต้นเดือนกรกฎาคม
โฆษกของกูเกิลยืนยันว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงครับ
หนึ่งในปัญหาหลักของแอนดรอยด์ในขณะนี้ก็คือเมื่อโทรศัพท์ถูกขโมย ทางแก้เฉพาะหน้าก็คือการใช้ Android Device Manager หรือบริการจากผู้ผลิตและผู้ให้บริการรายอื่นๆ ในการตามหาตัวเครื่อง แต่ทว่าปัญหามันไม่ได้จบแค่นั้น เพราะก่อนที่ผู้ใช้จะได้ค้นหาเครื่องจริง เหล่าโจรก็ใช้วิธีการคืนค่าโรงงาน (factory reset) ให้กับตัวอุปกรณ์ไปก่อน ดังนั้นจึงทำให้บริการตามหาเครื่องหายทั้งหลายรวมถึง Android Device Manager ไม่สามารถใช้งานได้ตามปกติ และการค้นหาเครื่องด้วยวิธีนี้ก็เป็นโมฆะไป