คดีระหว่างสหภาพนักเรียนชาวยิวในฝรั่งเศส (French Union of Jewish Students - UEJF) กับทวิตเตอร์ถูกยื่นฟ้องในฝรั่งเศสเพื่อขอให้มีคำสั่งให้เปิดตัวผู้ใช้ที่สร้างแฮชแท็กเหยียดชาวยิวจนกระทั่งขึ้น Trending ภายในประเทศ ทนายของทวิตเตอร์ได้ให้การต่อศาลฝรั่งเศสว่าทวิตเตอร์จะยอมเปิดเผยตัวตนของผู้ใช้ต่อเมื่อได้รับคำสั่งศาลสหรัฐฯ เท่านั้น
ทนายของทวิตเตอร์ระบุว่าเซิร์ฟเวอร์ทั้งหมดตั้งอยู่ในซานฟรานซิสโก ทำให้ทวิตเตอร์ต้องทำตามกฎหมายสหรัฐฯ ทวิตเตอร์ระบุกับ The Register ว่าแนวทางคำตอบเช่นนี้เป็นแนวทางเดียวกันกับรัฐบาลทั่วโลก และทวิตเตอร์ไม่ได้กรองเนื้อหาก่อนนำขึ้นเว็บ โดยเว็บจะเข้าไปตรวจสอบต่อเมื่อได้รับแจ้งเท่านั้น
แนวทางการเซ็นเซอร์ตามแต่ละประเทศดูเหมือนจะเป็นแนวทางที่กูเกิลเดินหน้าต่อไปเรื่อยๆ จากเดิมที่มีการใช้แนวทางใน YouTube เป็นหลัก ตอนนี้ก็ถึงคราวของ Blogger แล้ว
โดยกูเกิลได้ปรับนโยบายเงียบๆ ว่าจะปรับโดเมนที่ให้บริการไปตามพื้นที่ของผู้เข้าชม เช่นออสเตรเลียนั้นจะถูก redirect ไปยัง [ชื่อบล็อก].blogspot.com.au
แทน URL บล็อกตามปรกติ โดยโดเมนเหล่านี้จะถูกเซ็นเซอร์ตามกฏหมายของแต่ละประเทศ
อย่างไรก็ดีผู้ใช้ทุกคนสามารถเข้าบล็อกผ่าน URL [ชื่อบล็อก].blogspot.com/ncr
เพื่อยืนยันว่าจะเข้าใช้งาน .com แทนโดเมนของประเทศนั้นๆ ได้
มันคือการทำให้เจ้าหน้าที่ของแต่ละประเทศสบายใจว่าได้ปิดเนื้อหาในประเทศตัวเองแล้ว โดยที่ยังมีหนทางในการเข้าอ่านในทางอื่นๆ ได้นั่นเอง
หลายๆ คนคงทราบดีว่าอิหร่านเป็นประเทศที่มีความเข้มงวดกับอินเทอร์เน็ตและกิจกรรมออนไลน์ของประชาชนเป็นอย่างมาก (ใน Blognone ก็เคยรายงานอยู่หลายข่าว ติดตามได้จากแท็ก Iran) คดีล่าสุดที่ได้รับความสนใจจากต่างชาติเป็นเรื่องที่ศาลฎีกาของอิหร่านตัดสินพิพากษาประหารชีวิตโปรแกรมเมอร์คนหนึ่งด้วยข้อหา "ดูหมิ่นความเป็นที่สักการะของศาสนา"
กฏหมาย SOPA หรือ Stop Online Piracy Act นั้นเป็นกฏหมายที่สร้างข้อถกเถียงและแรงต่อต้านสูงมาก แต่ได้รับการสนับสนุนจากเจ้าของทรัพย์สินทางปัญญาหลายกลุ่ม ตั้งแต่เจ้าเก่าอย่างสมาคมภาพยนตร์สหรัฐฯ หรือ MPAA จนถึงเจ้าของแบรนด์สินค้าอย่างบริษัท L'Oreal แต่บริษัทที่อยู่ฝั่งอินเทอร์เน็ตอย่าง Go Daddy นั้นก็กลับไปลงชื่อร่วมสนับสนุนด้วย
Voice of America เขียนบทความถึงสถานะการณ์เสรีภาพในการแสดงออกในไทยในช่วงนี้โดยสรุปหลายประเด็น นับแต่ที่นายอนุดิษฐ์ นาครทรรพออกเตือนเรื่องการกด Share/Like ใน Facebook ว่าอาจจะเป็นการทำผิดกฏหมาย, คดีนายอำพล (อากง SMS), คดีจีรนุช เปรมชัยพร ผู้อำนวยการเว็บไซต์ประชาไท ที่สร้างความกังวลให้กับนานาชาตินับแต่ กรรมาธิการสิทธิมนุษยชนแห่งเอเชีย (AHRC), ตัวแทนคณะกรรมาธิการยุโรป, จนล่าสุดกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ ได้ออกมาแสดงความไม่สบายใจต่อมาตรฐานเสรีภาพการแสดงออกของไทยที่ไม่เข้ากับมาตรฐานนานาชาติ
ร่างกฏหมาย SOPA เป็นกฏหมายที่นับว่าเป็นไม้แข็งต่อปัญหาละเมิดลิขสิทธิ์ บริษัทเทคโนโลยีบางส่วนเริ่มเห็นขัดแย้งกันจนกระทั่งล่าสุดบริษัทผลิตซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัสอย่าง Kaspersky ก็ประกาศไม่ต่ออายุสมาชิกกับทาง BSA (Business Software Alliance) เพราะ BSA สนับสนุน SOPA แล้ว
ทางฝั่ง BSA เองแม้จะไม่กล้าพูดเต็มปากเต็มคำว่าสนับสนุน SOPA แต่ก็ระบุว่ากฏหมายฉบับนี้ต้องถ่วงน้ำหนักให้ดีก่อนที่ BSA จะสนับสนุนได้ โดยกระบวนการ (due process), เสรีภาพในการพูด, และการละเมิดลิขสิทธิ์ ต้องได้รับการปกป้อง
หลังจากรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ คือ นางสาวมัลลิกา บุญมีตระกูล ได้ออกมาแถลงเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา วันนี้นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ก็ได้แถลงออกทาง Facebook ว่าทางพรรคไม่เคยมีนโยบายที่จะปราบปรามหรือปิดเว็บไซต์ Facebook, Twitter, หรือ YouTube
ในแถลงการระบุว่าการตีความแถลงการก่อนหน้านี้ว่าพรรคประชาธิปัตย์เรียกร้องให้ปิดเว็บเหล่านี้นั้นเป็นการ "บิดเบือน" โดยนโยบายพรรคจริงๆ คือการขอให้ช่วยกันแจ้งไปยังพรรคประชาธิปัตย์ทางช่องทางต่างๆ ที่กำลังเปิดขึ้นมา
เช้าวันนี้ทางสำนักสื่อสารสาธารณะและบริการประชาชน สถาบันคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม (สบท.) ได้ส่งจดหมายข่าวเตือนผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม ต่อคดี "อากง เอสเอ็มเอส" ว่าสะท้อนว่าเจ้าของเครื่องจะต้องรับผิดชอบต่อการกระทำผ่านเครื่องนั้นๆ แม้จะไม่มีหลักฐานว่าเป็นผู้ลงมือจริงก็ตาม
ผลจากคดีนี้ กสทช.ประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา ออกคำเตือนผ่านสบท. ดังนี้
พรรคประชาธิปปัตย์จัดแถลงข่าวว่าทางพรรคจะทำหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่ากระทรวงไอซีที ให้จัดการเว็บหมิ่นอย่างจริงจัง โดยต้องกำหนดกรอบเวลา, ประสานความร่วมมือกับเจ้าของเว็บในต่างประเทศ, ประสานผู้นำประเทศต่างๆ เรียกผู้ให้บริการมาเจรจา, และสุดท้ายคือการแบนทั้งเว็บ
พร้อมกันนี้พรรคประชาธิปัตย์ยังได้เปิดหน้า Facebook "Fight Bad Web" และเปิดอีเมล FightBadWeb@gmail.com เพื่อรับเรื่องร้องเรียนการทำความผิดตามพรบ. คอมฯ
Twitter ออกมาเรียกร้องผ่านบล็อกของบริษัท ขอให้ "ไม่สกัดกั้นข้อความทวีต" (The Tweets Must Flow)
เนื้อหาในบล็อกนี้พูดถึงเสรีภาพในการแสดงออก (freedom of expression) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสิทธิมนุษยชนตามนิยามของสหประชาชาติ โดย Twitter มองว่าข้อความทวีตก็เป็นเสรีภาพในการแสดงออกเช่นกัน และประกาศว่าจะปกป้องสิทธิของผู้ใช้ในการแสดงความเห็นอย่างเต็มที่
ในอีกด้าน Twitter ยอมรับว่ามีลบข้อความทวีตบ้าง เช่น ข้อความสแปม หรือ ข้อความที่ผิดกฎหมาย แต่บริษัทจะพยายามให้กระบวนการโปร่งใสที่สุด
ศาลรัฐธรรมนูญของประเทศเกาหลีใต้ ได้ตัดสินว่า ข้อกฎหมายที่รัฐบาลใช้ในการจับกุมผู้ปล่อย "ข่าวลือ" บนอินเทอร์เน็ต ขัดต่อรัฐธรรมนูญ
กฎหมายดังกล่าว เป็นส่วนหนึ่งของกฎหมายด้านโทรคมนาคม กำหนดโทษจำคุกไม่เกินห้าปี และปรับไม่เกิน 50 ล้านวอน (ประมาณ 1.3 ล้านบาท) แก่ผู้ที่เผยแพร่ข้อมูลอันเป็นเท็จ อันส่งผลเสียหายต่อผลประโยชน์สาธารณะ
ศาลได้ให้เหตุผลไว้ว่า คำว่าผลประโยชน์สาธารณะนั้น เป็นคำที่กำกวม ทำให้การตีความสามารถทำได้หลากหลาย และประชาชนทั่วไปไม่สามารถรู้ได้ว่าเส้นแบ่งที่ชัดเจนนั้นอยู่ตรงไหน ในขณะที่เสรีภาพในการแสดงออกนั้นได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ
ศาลฝรั่งเศสอ่านคำพิพากษา จากที่ผู้เสียหายไม่ระบุชื่อแต่ระบุเพียงนามสมมติว่า "Mr. X" ฟ้องกูเกิลว่าได้แนะนำคำว่า "ข่มขืืน", "ซาตาน", และ "ผู้ถูกตัดสิน" ต่อท้ายชื่อของเขาในเมื่อมีการค้นหาชื่อของของด้วย Google Suggest โดยสั่งให้กูเกิลและ Eric Schmidt จ่ายค่าเสียหายร่วมกันเป็นเงิน 5,000 ยูโร
Mr. X เป็นผู้ถูกกล่าวหาในคดีข่มขืนเด็กหญิงอายุ 17 ปีอย่างไรก็ตามศาลตัดสินให้ผิดในข้อหาล่วงละเมิดผู้เยาว์ ทำให้เขาถูกปรับ 50,000 ยูโรและรอลงอาญาโทษจำคุกอีก 3 ปี
มาอีกแล้วกับเหตุการณ์นักเรียนกับชีวิตออนไลน์และออฟไลน์ที่ถูกนำมาปะปนกันอีกครั้ง หลังจากที่โรงเรียนแห่งหนึ่งในรัฐอินเดียน่าได้แบนนักเรียนหญิงเกรด 10 สองคนไม่ให้เข้าร่วมกิจกรรมหลังเลิกเรียนหลังจากที่ทางโรงเรียนพบว่านักเรียนหญิงสองคนนี้ได้ทำการโพสรูปที่ไม่เหมาะสมของตนเองขึ้นไปบน MySpace ในช่วงหยุดเรียนฤดูร้อนที่ผ่านมา หลังจากนั้นไม่นาน กลุ่มส่งเสริมสิทธิและเสรีภาพของประชาชนสหรัฐ (American Civil Liberties Union) ได้ทำการฟ้องร้องเรื่องนี้ให้กับเด็กหญิงทั้งสองคนนี้ โดยอ้างว่าการลงโทษดังกล่าวรุนแรงเกินไป ละเมิดสิทธิเสรีภาพในการพูด และทำให้เกิดอับอายโดยการที่ถูกบังคับให้ขอโทษกับบอร์ดโค้ชกีฬาที่เป็นผู้ชายล้วนที่โรงเรียน