มีเอกสารเพิ่มเติมเผยแพร่ออกมาจากคดีกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ฟ้องกูเกิล เรื่องผูกขาดธุรกิจเสิร์ชเอ็นจิน ซึ่งระบุถึงผลประโยชน์ที่กูเกิลจ่ายให้แอปเปิล เพื่อแลกกับ Safari ตั้งค่า Google Search เป็นเสิร์ชค่าเริ่มต้น (default) ซึ่งที่ผ่านมาทราบเพียงตัวเลขคือระดับหมื่นล้านดอลลาร์ต่อปี
ข้อตกลงของกูเกิลกับแอปเปิลนั้นระบุว่า กูเกิลจะจ่ายเงินส่วนแบ่ง 36% ของรายได้โฆษณาในเสิร์ชที่เกิดขึ้นบน Safari
ข้อมูลนี้เป็นหนึ่งในหลักฐานที่ทางการสหรัฐฯ มองว่ากูเกิลปิดโอกาสให้เสิร์ชรายอื่นเข้ามาพัฒนาแข่งขันได้ รวมทั้งเป็นข้อตกลงทางอ้อมไม่ให้แอปเปิลทำเสิร์ชออกมาแข่งด้วย เพราะจำนวนเงินที่จ่ายนั้นก็สูงมากพอ
ที่มา: 9to5Mac
กระทรวงยุติธรรมของสหรัฐฯ เปิดเผยว่าในระหว่างที่มีการสืบสวนคดีเกี่ยวกับ Huawei ได้มีสายลับของรัฐบาลจีน 2 คนพยายามติดสินบนคนของกระทรวงเพื่อล้วงข้อมูลผลการสืบสวนจากภายในกระทรวง
ทางการสหรัฐฯ ระบุชื่อสายลับดังกล่าวคือ Guochun He และ Zheng Wang ซึ่งต่างก็เคยทำงานให้กับ Huawei โดยทั้งคู่ได้พยายามสร้างความสัมพันธ์กับพนักงานของกระทรวงซึ่งไม่เปิดเผยชื่อรายหนึ่งตั้งแต่ปี 2017 และพยายามสอบถามเรื่องพยาน, หลักฐานและความคืบหน้าในเรื่องการตั้งข้อหาเพิ่มเติมกับ Huawei ในเวลานั้น
Bloomberg รายงานอ้างอิงคนในว่ากระทรวงยุติธรรมสหรัฐ (Department of Justice) กำลังเตรียมยื่นฟ้อง Alphabet กรณี Google มีพฤติกรรมผูกขาดในตลาดโฆษณา หลังสืบพยานและเตรียมคดีมาหลายปี
รอบนี้ยังไม่มีข้อมูลรายละเอียดว่ากระทรวงยุติธรรมจะฟ้อง Alphabet/Google ในแง่มุมไหน ขณะที่การยื่นฟ้องอาจเร็วที่สุดในเดือนหน้า ที่ศาลใดศาลหนึ่งระหว่างศาลในวอชิงตัน ที่มีคดีผูกขาด Search ค้างอยู่ หรือศาลในนิวยอร์ก ที่อัยการสูงสุดของมลรัฐมียื่นคดีผูกขาดโฆษณา Google ไว้อยู่
เมื่อปี 2020 Google เคยถูกฟ้องผูกขาดโฆษณามาแล้วครั้งหนึ่งจากทนายความจาก 10 รัฐ
กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ประกาศนโยบายการดำเนินคดีตามกฏหมายคอมพิวเตอร์สหรัฐฯ (Computer Fraud and Abuse Act - CFAA) ระบุว่าหากนักวิจัยทดสอบระบบในรูปแบบที่พยายามหลีกเลี่ยงการสร้างความเสียหาย และทำไปเพื่อเสริมสร้างความปลอดภัยโดยรวมแล้วจะไม่ดำเนินคดี
แนวนโยบายชุดนี้ยังระบุถึงประเภทคดีที่จะไม่ดำเนินคดีตาม CFAA เช่น ลูกจ้างใช้คอมพิวเตอร์เข้าเว็บไซต์ที่ไม่เกี่ยวกับงาน, ผู้ใช้เว็บไซต์ไม่ทำตามข้อตกลงการใช้งาน (เช่น เว็บระบุให้ใช้ชื่อจริง),
อย่างไรก็ดีหากอัยการมีข้อสงสัยว่าแฮกเกอร์ใช้การวิจัยความปลอดภัยเป็นการบังหน้า ก็จะมีส่วนงานอาชญากรรมคอมพิวเตอร์มาพิจารณาคดีเป็นรายๆ ไปอีกชั้นหนึ่ง
กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ยื่นฟ้อง Till Kottman ชาวสวิสเซอร์แลนด์ผู้นำข้อมูลหลุดมาเปิดเผยหลายครั้ง เช่น เหตุการณ์ซอร์สโค้ดอินเทลหลุด หรือเหตุการณ์ภาพวงจรปิด Verkada หลุด จนไปถึงเหตุการณ์ซอร์สโค้ดหลุดจาก SonarQube
คำฟ้องระบุว่า Kottman เป็นผู้ดำเนินการเว็บไซต์ git.rip ที่เปิดเผยข้อมูลภายในขององค์กรต่างๆ กว่าร้อยองค์กร เขายังโปรโมทข้อมูลหลุดขององค์กรต่างๆ ผ่านทาง Telegram ในห้อง "ExConfidential"
ก่อนหน้านี้ Kottman เคยใช้ชื่อบัญชีว่า deletescape บนทวิตเตอร์ ก่อนจะถูกลบบัญชีไป
DOJ หรือกระทรวงยุติธรรมของสหรัฐฯ ออกประกาศฟ้องร้อง Xinjiang Jin หรือ Julien Jin ในข้อหาก่อกวนวิดีโอคอลที่จัดทำขึ้นเพื่อรำลึกเหตุการณ์สังหารหมู่หน้าจัตุรัสเทียนอันเหมินในปี 1989 ซึ่ง DOJ ไม่ได้ระบุว่าผู้ว่าจ้าง Jin คือใคร (ในเอกสารใช้คำว่า Company-1) แต่ Zoom ได้ออกแถลงการณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้ชัดเจนว่า ทางบริษัทคือผู้ว่าจ้าง Jin เอง
Zoom ระบุว่า Jin เป็นพนักงานที่มีหน้าที่ติดต่อประสานงานระหว่าง Zoom กับหน่วยงานด้านกฎหมายและข่าวกรองของจีน โดยการว่าจ้าง Jin มาเนื่องจากก่อนหน้านี้ Zoom ถูกบล็อคในประเทศจีน บริษัทจึงต้องร่วมมือกับหน่วยงานในประเทศจีนเพื่อจัดการเซนเซอร์เนื้อหาที่รัฐบาลจีนไม่ต้องการ รวมถึงว่าจ้าง Jin เข้ามาเป็นผู้ติดต่อประสานงานระหว่าง Zoom กับรัฐบาลจีน
Wall Street Journal รายงานว่ากระทรวงยุติธรรมสหรัฐกำลังจะสอบสวน Google หลังเตรียมบังคับใช้โปรโตคอล DNS over HTTPS บน Chrome ซึ่งจะทำให้ Google สามารถเข้าถึงข้อมูลทราฟฟิคของผู้ใช้งานได้แต่เพียงรายเดียว สุ่มเสี่ยงต่อการผูกขาดการเข้าถึงข้อมูล
ประเด็นที่กระทรวงยุติธรรมจะสอบสวนคือ Google จะนำข้อมูลทราฟฟิคที่ผูกขาดเหล่านั้นไปใช้งานในเชิงพาณิชย์หรือไม่ หลังได้รับคำร้องเรียนหลังได้รับคำร้องเรียนจากหลายฝ่ายโดยเฉพาะ ISP
กระบวนการควบรวมระหว่าง T-Mobile และ Sprint ยังคงไม่เสร็จสมบูรณ์ 100% เพราะยังไม่ได้รับการรับรองจากภาครัฐ โดยในกระบวนการเจรจาล่าสุด กระทรวงยุติธรรมสหรัฐเสนอให้ T-Mobile/Sprint วางแผนและวางรากฐานที่สนับสนุนให้เกิดผู้ให้บริการเครือข่ายรายใหม่ ซึ่งเป็นหนึ่งในเงื่อนไขในการรับรองการควบรวมกิจการ
Bloomberg รายงานอ้างอิงผู้ที่เกี่ยวข้องกับการเจรจาครั้งนี้ โดยข้อเสนอดังกล่าวของกระทรวงยุติธรรมต้องการให้ T-Mobile/Sprint สนับสนุนผู้ให้บริการรายใหม่ที่จะเข้ามาด้วยโครงข่ายและคลื่นสัญญาณของตัวเอง เพื่อต้องการรักษาสภาพการแข่งขันในกลุ่มผู้ให้บริการจากที่เดิมมี 4 รายและกำลังจะลดลงเหลือ 3 ราย
ผู้ให้บริการสตรีมมิงอย่าง Netflix กับรางวัลภาพยนตร์เป็นปัญหาที่ถกเถียงและขัดแย้งกันมาหลายปี ซึ่งถึงแม้ Roma ของ Netflix จะคว้ารางวัลใหญ่อย่างกำกับภาพยนตร์ยอดเยี่ยม
แต่ก็ใช่ว่าปัญหานี้จะหมดไปเพราะบอร์ดของ the Academy และพ่อมดวงการภาพยนตร์อย่าง Steven Spielberg ก็ยังคงค้านที่จะให้หนังสตรีมมิงมีสิทธิในการรับรางวัล และจะพูดคุยกับ the Academy เรื่องการจำกัดรางวัลจากหนังสตรีมมิง ซึ่งประเด็นนี้เองได้เข้าตาของกระทรวงยุติธรรม เพราะเกรงว่าจะเกิดการผูกขาดขึ้น
ถึงแม้ประเด็นข้อมูลส่วนตัวผู้ใช้เฟซบุ๊กกับ Cambridge Analytica จะเงียบลงไปแล้ว แต่ในแง่ของกระบวนการด้านกฎหมายในสหรัฐยังคงดำเนินการกันอยู่ และล่าสุดมีหน่วยงานภาครัฐได้แก่ FBI, SEC (กลต. สหรัฐ) และ FTC เข้ามาร่วมวงกับกระทรวงยุติธรรม (Department of Justice) เพื่อสอบสวนเรื่องนี้ด้วย
สิ่งที่ FBI สนใจคือประเด็นอะไรบ้างที่เฟซบุ๊กได้รับเมื่อ 3 ปีที่แล้ว (ปี 2015 ที่เฟซบุ๊กได้รับข้อมูลว่ามีข้อมูลส่วนตัวผู้ใช้ถูกส่งต่อไปให้ Cambridge Analytica) และเหตุใดบริษัทถึงไม่แจ้งเรื่องนี้ให้ผู้ใช้และนักลงทุนทราบ ขณะที่ FTC เคยระบุเมื่อเดือนมีนาคมว่ากำลังสอบสวนเฟซบุ๊ก เรื่องการละเมิดความเป็นส่วนตัว ส่วนด้าน SEC ไม่มีข้อมูลว่าสอบสวนในประเด็นใด
สำนักข่าว New York Times รายงานว่า กระทรวงยุติธรรมแห่งสหรัฐฯ หรือ DoJ สั่งสอบสวนการผูกขาดเพื่อระบุว่า AT&T, Verizon รวมถึงกลุ่ม GSM Association หรือ GSMA มีพฤติกรรมสมรู้ร่วมคิดเพื่อพยายามกีดกันผู้ใช้ในการเปลี่ยนเครือข่ายผ่านอุปกรณ์ที่รองรับ eSIM หรือไม่ และ CNBC รายงานว่าตอนนี้ผู้ให้บริการเครือข่ายขนาดใหญ่ทั้งสี่ของสหรัฐฯ คือ AT&T, Verizon, T-Mobile และ Sprint ได้รับคำขอข้อมูลเพื่อการตรวจสอบจาก DoJ แล้ว
กระทรวงยุติธรรมของสหรัฐฯ หรือ Department of Justice (DOJ) ได้ยื่นฟ้องสั่งหยุดการควบรวมบริษัท AT&T กับ Time Warner โดยอ้างว่าจะทำให้เกิดการผูกขาดได้
DOJ กล่าวว่า ถ้าเกิดการควบรวมบริษัทสำเร็จ จะทำให้ทาง AT&T และ Time Warner ใหญ่ขึ้น เป็นภัยคุกคามต่อผู้บริโภคโดยการลดการแข่งขันกับผู้กระจายวิดีโอแบบดั้งเดิม และคู่แข่งออนไลน์ ซึ่งหลังจากการรวมบริษัทแล้ว จะทำให้บริษัทมีอำนาจในการทำให้คู่แข่งนั้นมีความสามารถในการแข่งขันน้อยลงโดยการขึ้นราคา ผลลัพธ์คือจะทำให้ชาวอเมริกันต้องจ่ายแพงขึ้น และยังมีผลต่อการเติบโตของช่องทางออนไลน์ที่ดูจะเป็นภัยคุกคามระบบ pay-TV ดั้งเดิมด้วย
ยังคงเป็นข้อถกเถียงว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้ซึ่งมีสถานะเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะสามารถบล็อคผู้ใช้รายอื่นบนทวิตเตอร์ได้หรือไม่ เพราะข้อมูลที่เผยแพร่จากประธานาธิบดีควรเป็นข้อมูลสาธารณะห้ามปิดกั้นการเข้าถึง ก่อนหน้านี้มีกรณีฟ้องร้องไปแล้ว คือสถาบัน The Knight First Amendment จากมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ฟ้องโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ไล่บล็อคผู้ใช้ทวิตเตอร์รายอื่น กระทบต่อเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและการเข้าถึงข้อมูล ล่าสุดหน่วยงานรัฐออกมาโต้แล้วว่า คำสั่งศาลไม่มีอำนาจในการบังคับการใช้งานทวิตเตอร์ส่วนตัวของทรัมป์ หรือ @realDonaldTrump ได้
หลังเมื่อไม่กี่เดือนก่อน The New York Times ออกบทความแฉว่า Uber มีเครื่องมือภายในที่ใช้หลอกล่อเจ้าหน้าที่ที่ล่อซื้อในชื่อ Greyball ซึ่งถึงแม้ Uber จะระงับการใช้งานเครื่องมือนี้หลังถูกแฉแล้วก็ตาม แต่ล่าสุดกระทรวงยุติธรรมสหรัฐได้เริ่มสืบสวน Uber กรณีนี้แล้ว
กระบวนการสืบสวนยังอยู่ในขั้นต้นและไม่มีรายละเอียดใดๆ ออกมา ส่วนทางด้าน Uber และกระทรวงยุติธรรมสหรัฐต่างปฏิเสธจะแสดงความเห็นในเรื่องนี้ด้วยกันทั้งคู่
กลุ่มองค์กรสิทธิมนุษยชนกว่า 50 องค์กรรวมตัวกันเรียกร้องต่อกระทรวงยุติธรรมสหรัฐ ให้ช่วยพิจารณาขอบเขตของกฎหมายและสืบสวนหาข้อเท็จจริงในการนำเทคโนโลยีตรวจจับใบหน้าไปใช้งานอย่างไม่เหมาะสม หลังเทคโนโลยีนี้ถูกใช้งานอย่างแพร่หลายและมากเกินความจำเป็น จากภาครัฐ ทั้งตำรวจและ FBI
กลุ่มองค์กรเผยว่า ปัจจุบันยังไม่มีกฎหมายที่จำกัดการนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้อย่างมีขอบเขตและเป็นธรรม โดยชี้ว่าเทคโนโลยีตรวจจับใบหน้าแทบถูกเจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงนำไปใช้งานอย่างแพร่หลาย และอาจนำไปสู่การใช้งานโดยอคติ ซึ่งกรณีนี้กระทรวงยุติธรรมกำลังสอบสวนองค์กรตรวจอยู่ด้วย
สมาชิกวุฒิสภาของสหรัฐฯ จำนวนหนึ่งร่วมกันเสนอกฎหมาย Stop Mass Hacking Act ที่ควบคุมอำนาจในการแฮ็กของกระทรวงยุติธรรมและ FBI ที่อ้างหตุผลของการแฮ็กว่าการก่ออาชญากรรมในปัจจุบัน มีความล้ำหน้ามากยิ่งขึ้น
แนวคิดเรื่องกฎหมายนี้มีขึ้น หลังจากเมื่อเดือนที่แล้วศาลสูงของสหรัฐได้แก้กฎของหนึ่ง ที่อนุญาตให้ผู้พิพากษามีอำนาจในการสั่งค้นอุปกรณ์หรือคอมพิวเตอร์ต้องสงสัย โดยไม่จำเป็นว่าอุปกรณ์นั้นจะต้องอยู่ภายใต้กรอบอำนาจของศาล (jurisdiction) ซึ่งฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยก็แย้งว่า การแก้กฎนี้เหมือนกับมอบอำนาจให้กับ FBI ในการแฮ็กหรือค้นอุปกรณ์คอมพิวเตอร์จากทางไกล (remote access) ได้อย่างไม่ถูกจำกัด