ปัญหาสำคัญของสินค้าและบริการจาก Amazon คือมักจำกัดประเทศ ขายแค่ในสหรัฐอเมริกาและยุโรปบางประเทศเท่านั้น ส่งผลให้การซื้อมาใช้ในบ้านเราค่อนข้างยุ่งยาก หรือแม้ใช้งานได้ก็อาจขาดฟีเจอร์บางอย่าง

ท่าทีของ Amazon ในช่วงหลังก็พยายามขยายสินค้าและบริการออกสู่ตลาดโลกมากขึ้น ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ Amazon Prime Video ที่มาเปิดในบ้านเราตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว

ล่าสุด Amazon ประกาศขยายประเทศที่วางขายลำโพงอัจฉริยะ Echo และบริการเพลงสตรีมมิ่ง Amazon Music Unlimited อีก 28 ประเทศ ครอบคลุมหลายประเทศในยุโรปและละตินอเมริกา เช่น โบลิเวีย ชิลี โคลอมเบีย เปรู อาร์เจนตินา

ก่อนหน้านี้ Echo Show อุปกรณ์ผู้ช่วยอัจฉริยะจาก Amazon แบบมีจอภาพ ถูก Google บล็อคไม่ให้เปิด YouTube โดยอ้างการละเมิดเงื่อนไขการใช้งาน แต่ล่าสุดมีเว็บไซต์ Voicebot.ai ได้เริ่มเห็นว่าตอนนี้ YouTube บน Echo Show เริ่มกลับมาดูได้อีกครั้งแล้ว ซึ่ง Amazon ก็ได้ยืนยันข้อมูลดังกล่าวแล้ว

การละเมิดเงื่อนไขการใช้งานของ YouTube นี้ คือข้อตกลงการใช้งาน API ของ YouTube ซึ่งต้องการให้นักพัฒนาใส่ฟีเจอร์หลักของ YouTube เข้าไปให้มากที่สุด แต่ YouTube บน Echo Show ขาดคุณสมบัติข้อนี้ ซึ่งในครั้งนี้ Amazon ก็ได้ปรับปรุงให้เป็นไปตามที่ YouTube ต้องการแล้ว

ขวบปีที่ผ่านมาการแข่งขันในตลาดลำโพงอัจฉริยะและผู้ช่วยอัจฉริยะถือว่าค่อนข้างสูง โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา ทั้งในแง่ของฟีเจอร์และเซกเมนต์ของผลิตภัณฑ์ อย่างช่วงกลางปีที่ผ่านมา Google ได้เพิ่มความสามารถให้ Google Home แยกแยะเสียงผู้พูดได้สูงสุด 6 คน ล่าสุด Amazon ประกาศเพิ่มความสามารถลักษณะเดียวกันให้ Alexa แล้ว

ประโยชน์หลักๆ ของการแยกเสียงผู้พูดคือ Alexa สามารถบอกกำหนดการ อีเมลหรือเล่นเพลงได้ตามโปรไฟล์ของผู้พูดได้อัตโนมัติ ขณะที่ฟีเจอร์นี้รองรับหมดทั้ง Echo, Echo Dot และ Echo Show ไปจนถึงอุปกรณ์ third-party อื่นๆ ที่รันด้วย Alexa โดยผู้ใช้สามารถตั้งโปรไฟล์เสียงได้จากแท็บ Your Voice บนหน้า Setting บนแอป Alexa

Amazon หั่นราคา Echo Show ซึ่งเป็นอุปกรณ์ Echo พร้อมหน้าจอขนาด 7 นิ้วและมีผู้ช่วยส่วนตัว Alexa เป็นจำนวน 30 ดอลลาร์ จากราคาเดิม 229.99 ดอลลาร์เหลือเพียง 199.99 ดอลลาร์ คาดว่าเนื่องจากไม่สามารถดู YouTube ได้

Variety รายงานว่า Amazon น่าจะประสบปัญหากับยอดขายผลิตภัณฑ์ร่วงลงอย่างหนักเนื่องจาก YouTube บล็อกไม่ให้ใช้งานโดยอ้างว่าละเมิดเงื่อนไขการใช้งาน ดังนั้นการลดราคาสินค้าครั้งนี้คาดว่าเพื่อกระตุ้นยอดขายนั่นเอง และอาจเป็นไปได้ว่า Amazon ต้องการกระตุ้นยอดขาย Echo Show ก่อนที่ผลิตภัณฑ์ Echo ที่เพิ่งเปิดตัวใหม่จะออกสู่ตลาดในช่วงวันหยุดท้ายปี

ต่อเนื่องจากการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ Echo ชุดใหญ่ Amazon ยังเปิดเผยคุณสมบัติใหม่ของ Alexa โดยจะรองรับการสั่งงานด้วยคำสั่งเดียวสั้นๆ แต่ทำงานหลายอย่างต่อเนื่องกัน ซึ่งเรียกว่า Routines

เพื่อให้เห็นภาพ Dave Limp ผู้บริหาร Amazon ได้สาธิตการทำงาน โดยสั่งงานว่า "Alexa, good morning" จากนั้น ไฟก็เปิดทำงาน, ตามด้วยม่านหน้าต่างเปิดออก, Alexa เริ่มอ่านข่าวยามเช้า และกาต้มน้ำเริ่มทำงาน พอสั่งงานให้หยุดทำงานว่า "Alexa, that’s too bright" ไฟก็ปิด, ม่านหน้าต่างหรี่ลง และกาต้มน้ำหยุดทำงาน

ฟีเจอร์ทั้งหมดจะเปิดให้ใช้งานในอนาคต และ Amazon บอกว่าจะเปิดให้นักพัฒนาเข้าถึง API เพื่อทำชุดคำสั่ง Routines นี้ได้อีกด้วย

Amazon ออกอุปกรณ์เสริมชิ้นใหม่ Echo Connect อุปกรณ์สำหรับการต่อโทรศัพท์ให้กับ Echo เพื่อให้สามารถสั่งการ Alexa ให้โทรออกผ่านโทรศัพท์บ้านได้ทันที (ดังนั้นต้องซื้อ Echo มาด้วยจึงจะสามารถใช้อุปกรณ์นี้ได้) เป็นความสามารถเพิ่มเติมนอกจากที่ Echo และแอพ Alexa สามารถโทรฟรีหากันได้ จำหน่ายในราคา 34.99 ดอลลาร์

Amazon เปิดตัว Echo Buttons โดยเป็นอุปกรณ์ลักษณะปุ่มที่ออกแบบมาเน้นการตอบโต้กับ Alexa โดยเฉพาะอย่างเช่นการเล่นเกมภายในครอบครัว สามารถเล่นเกมกับ Alexa Skill ที่รองรับได้อย่างเช่น Musicplode, Dungeon Escape และ Sounds Fun

อุปกรณ์ Echo Buttons นี้ออกมาเป็นอุปกรณ์เสริมของ Alexa หรือ Alexa Gadget ชิ้นแรกเพื่อทำให้ผู้ใช้ตอบโต้กับ Alexa ได้อย่างเพลิดเพลิน และในอนาคต Amazon น่าจะพัฒนามีอุปกรณ์ลักษณะนี้ออกวางขายสู่ตลาดอีก

สำหรับราคาวางขายของ Echo Buttons นี้อยู่ที่ 19.99 ดอลลาร์ต่อแพ็ค (แพ็คละ 2 ปุ่ม) เตรียมวางขายในช่วงเทศกาลวันหยุดท้ายปีนี้

สินค้าใหม่ของ Amazon ที่น่าจับตามากที่สุดคือ Echo Spot อธิบายง่ายๆ มันคือนาฬิกาปลุกอัจฉริยะ ที่มีจอภาพทรงกลมขนาดเล็ก 2.5" และรองรับการสนทนากับ Alexa

Echo Spot เป็นเวอร์ชันลดขนาดของ Echo Show ซึ่งเป็นอุปกรณ์ Echo รุ่นแรกที่มีจอภาพ ข้อดีของมันคือมีขนาดเล็ก วางได้ทุกที่ เหมาะกับการวางไว้บนหัวเตียง ยามปกติมันอาจแสดงเข็มนาฬิกา แต่มันสามารถทำงานทุกอย่างที่ Echo Show ทำได้ ไม่ว่าจะเป็นแสดงข้อมูลสภาพอากาศ เปิดคลิปวิดีโอ เปิดเพลง หรือแม้กระทั่งคุยวิดีโอคอลล์ (มีกล้องหน้าให้ในตัว)

Echo Spot ขายราคา 129.99 ดอลลาร์ มีให้เลือกสองสีคือขาวกับดำ สินค้าจะเริ่มวางขายในเดือนธันวาคม

Amazon เปิดตัวผลิตภัณฑ์ตระกูล Echo ชุดใหญ่ เริ่มจากสินค้าหลักคือลำโพง Amazon Echo รุ่นที่สอง ขนาดเล็กลงกว่าเดิม มีให้เลือกหลายสีหลายลายเพื่อให้เหมาะกับเฟอร์นิเจอร์ของแต่ละบ้าน ปรับปรุงระบบลำโพงและไมโครโฟนใหม่ให้ดีกว่าเดิม และขายในราคาถูกลงที่ 99.99 ดอลลาร์

สินค้าอีกตัวในชุดเดียวกันคือ Echo Plus ที่หน้าตาเป็นกระบอกทรงสูงเหมือน Echo รุ่นแรก สิ่งที่เพิ่มมาคือฟีเจอร์ฮับสำหรับบ้านอัจฉริยะ ใช้ควบคุมอุปกรณ์ไฮเทคอย่างหลอดไฟ กลอนประตูอัจฉริยะ ได้โดยไม่จำเป็นต้องมีอุปกรณ์ฮับแยกอีกตัว (รองรับโพรโทคอลที่นิยมอย่าง ZigBee ในตัว) ราคา 149.99 ดอลลาร์ ช่วงเปิดตัวยังแถมหลอดไฟ Philips Hue ให้ด้วย

สินค้าทั้งสองตัว เปิดให้สั่งซื้อแล้ว และจะเริ่มส่งสินค้าในเดือนหน้า

บริษัท Consumer Intelligence Research Partners (CIRP) ได้ออกรายงานผลวิจัยยอดขายของผลิตภัณฑ์ลำโพงพร้อมผู้ช่วยส่วนตัวว่า ตอนนี้ Amazon Echo กำลังนำมาเป็นที่หนึ่งด้วยส่วนแบ่ง 76% ของตลาดสหรัฐฯ ตามมาด้วย Google Home ที่ 24%

CIRP คาดการณ์ว่า Amazon Echo นั้นสามารถขายได้ถึง 15 ล้านเครื่องทั่วสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากเดือนมีนาคมที่ผ่านมาที่ 10.7 ล้านเครื่อง​ โดยปัจจุบัน Echo Dot ซึ่งเป็นรุ่นเล็กของ Echo วางขายที่ราคา 49.99 ดอลลาร์ สามารถกินส่วนแบ่งไปได้ครึ่งหนึ่งของ Echo เครื่องใหญ่

ในด้านการใช้งานนั้น CIRP ได้สำรวจและพบว่า ผู้ใช้ส่วนใหญ่นั้นใช้อุปกรณ์เหล่านี้ฟังเพลงมากที่สุด ตามมาด้วยการถามคำถาม, ตั้งปลุกหรือจับเวลา และควบคุมเทคโนโลยีบ้านอัตโนมัติ

Amazon ประกาศเพิ่มความสามารถให้อุปกรณ์ตระกูล Echo ให้สามารถรองรับการเล่นเพลงพร้อมกันหลายเครื่องแล้ว (synchronization) เบื้องต้นฟีเจอร์นี้รองรับเฉพาะจาก Amazon Music, TuneIn, iHeartRadio และ Pandora ก่อน ขณะที่ Spotify จะตามมาเร็วๆ นี้

Amazon ระบุด้วยว่าฟีเจอร์นี้จะรองรับลำโพงไร้สายอื่นๆ ที่อยู่ในเครือข่ายด้วยในอนาคต โดย SDK สำหรับผู้ผลิตลำโพงไร้สาย ที่ต้องการนำฟีเจอร์นี้ไปติดตั้งบนลำโพงของตัวเองจะถูกปล่อยภายในสิ้นปีนี้ ส่วน Connected Speaker API สำหรับสั่งคำสั่งเล่นเพลงผ่านลำโพงยี่ห้ออื่นๆ ที่รันด้วย Alexa ได้ถูกปล่อยออกมาแล้ว โดยทาง Amazon ระบุว่าแบรนด์ที่รองรับ API นี้ตอนนี้มี Sonos, Bose, Sound United และซัมซุง

หลังจาก Amazon ซื้อกิจการ Whole Foods และประกาศว่าจะลดราคาสินค้าในซูเปอร์มาร์เก็ตตั้งแต่วันแรก ซึ่งก็ลดราคาตามสัญญาจริง แต่อีกสิ่งที่ไม่ผิดคาดก็คือ Amazon Echo ได้เริ่มวางขายใน Whole Foods ด้วยเช่นกัน

โดย Amazon ได้นำลำโพง Echo และ Echo Dot มาวางจำหน่ายในพื้นที่สินค้าสดของ Whole Foods ในราคาที่ติดว่าลดราคาเหลือ 99.99 และ 44.99 ดอลลาร์ ตามลำดับ แต่ก็เป็นราคาที่เท่ากับบนเว็บ Amazon เอง

ถึงแม้จะเป็นสินค้าเดียวที่ดูแปลกไปหน่อยในซูเปอร์มาร์เก็ต แต่ก็เป็นการประกาศว่าพื้นที่นี้ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของ Amazon แล้วนั่นเอง

Amazon เปิดตัว Echo Show ผลิตภัณฑ์ใหม่ในไลน์ Echo มีหน้าจอและกล้องหน้า เพิ่มช่องทางการสื่อสารกับผู้ใช้จากเดิมที่ต้องสั่งงานด้วยเสียงเท่านั้น

Echo Show ใช้หน้าจอสัมผัสขนาด 7 นิ้วและกล้องหน้าขนาด 5 ล้านพิกเซล มาพร้อมกับคุณสมบัติพื้นฐานของ Echo เช่นระบบผู้ช่วย Alexa ที่รองรับการสั่งงานด้วยเสียง บริการสตรีมมิ่งเพลง และการควบคุมอุปกรณ์สมาร์ทโฮมต่างๆ

สำหรับความสามารถที่เพิ่มมา เช่น ผู้ใช้สามารถสั่งให้ Alexa เล่นคลิปจาก YouTube ได้, สามารถแสดงเนื้อเพลงขณะเล่นเพลงจาก Amazon Music, สั่งให้แสดงพยากรณ์อากาศได้ และยังสามารถมอนิเตอร์กล้องวงจรปิดสำหรับบางอุปกรณ์ที่รองรับได้ด้วย

Amazon เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ให้ลำโพง Echo สามารถใช้เป็น intercom คุยกันระหว่างห้องได้ รวมถึงส่งเสียงออกลำโพงของ Echo ตัวใดตัวหนึ่งผ่านแอพ Alexa บนสมาร์ทโฟนได้ด้วย

ในการใช้งานฟีเจอร์นี้ (Amazon เรียกว่า Drop-in) เราต้องตั้งชื่อของลำโพง Echo ตามชื่อห้องก่อน จากนั้นก็สามารถเรียก "Alexa, call the kitchen" เพื่อคุยกับคนในครัวได้เลย ข้อดีของมันคือเราไม่จำเป็นต้องพูดจาก Echo เพียงอย่างเดียว ต่อให้อยู่นอกบ้านก็สามารถพูดได้ผ่านแอพ Alexa นั่นเอง

ก่อนหน้านี้ไม่นาน Amazon เพิ่งเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ ลำโพง Echo และแอพ Alexa โทรหากันได้ฟรีตลอดไป

จะดีแค่ไหน ถ้าสามารถลองสวมใส่เสื้อผ้าที่มีให้เลือกเป็นล้านชิ้นจากแบรนด์ที่หลากหลายที่บ้านของคุณเองได้ ก่อนจะตัดสินใจซื้อ แถมจัดส่งฟรีไม่มีค่าใช้จ่ายอีก โปรเจคล่าสุดของ Amazon ปล่อยออกมาแล้วกับ Prime Wardrobe ให้คุณสามารถเลือกเสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า เครื่องประดับต่างๆ ได้ตั้งแต่ 3 ชิ้นขึ้นไป บริการจัดส่งในพื้นที่ที่ UPS สามารถเข้าถึงได้

Morning Consult ได้ทำการสำรวจความสนใจอุปกรณ์ผู้ช่วยอัจฉริยะภายในบ้าน หลังการเปิดตัว HomePod ของแอปเปิล จากกลุ่มตัวอย่าง 2,200 คน ได้ผลลัพธ์ออกมาเป็นดังนี้

• 57% บอกว่าราคาเป็นปัจจัยที่พิจารณาในการเลือกซื้ออุปกรณ์ผู้ช่วยอัจฉริยะภายในบ้าน ขณะที่ 51% บอกว่าคุณภาพเสียงก็สำคัญ
• 55% บอกว่าไม่มีความสนใจซื้อ HomePod ขณะที่ 33% บอกว่าสนใจซื้อ
• 40% ของเฉพาะผู้ที่มีสินค้าแอปเปิลอยู่แล้วบอกว่าสนใจซื้อ HomePod
• คำถามสุดท้ายว่าสินค้าตัวไหนดูลงตัวที่สุด 17% บอกว่า Amazon Echo, 12% Echo Dot ขณะที่ HomePod อยู่ที่ 11%

จากการเปิดตัว HomePod ของแอปเปิลในงาน WWDC ที่ผ่านมา ทำให้บริษัทไอทีหลักๆ ต่างเป็นเจ้าของและลงมาเล่นตลาดลำโพงอัจฉริยะกันถ้วนหน้า (ยกเว้นไมโครซอฟท์ที่เอา Cortana ไปแจมกับ Harmann Kardon)

ถึงแม้จะยังไม่วางขายจริง แต่เมื่อเปิดตัว HomePod ก็ไม่พ้นที่จะโดนเปรียบเทียบกับคู่แข่งเจ้าอื่นที่มีอยู่แล้วในตลาดทั้ง Amazon Echo ที่บุกเบิกตลาดนี้, Google Home และ Sonos เจ้าพ่อลำโพงไร้สาย ถึงแม้จะเป็นการเปรียบเทียบกันบนกระดาษอย่างเดียวก็ตาม

Amazon เตรียมนำฟีเจอร์การแจ้งเตือนมาลง Alexa คือให้อุปกรณ์ที่รัน Alexa ไม่ว่าจะเป็น Echo ของ Amazon เองหรืออุปกรณ์จากนักพัฒนารายอื่น รับการแจ้งเตือนจาก skill ของ Alexa ได้

Alexa ไม่ได้เป็นการประกาศการแจ้งเตือนออกมาทันทีเมื่อได้รับการแจ้งเตือนมา แต่จะมาเป็นเสียงเตือน (เหมือนโทรศัพท์มือถือ) กับเปลี่ยนสีของแสงวงแหวนเป็นเขียว (ส่วนอุปกรณ์ที่ไม่มีไฟสี อาจใช้วิธีแสดงไฟแจ้งเตือนในรูปแบบอื่นแทน) เพื่อเป็นการแจ้งเตือนผู้ใช้ก่อน เมื่อผู้ใช้ต้องการทราบรายละเอียดให้เรียกถาม Alexa ก็จะอ่านรายละเอียดการแจ้งเตือนให้ฟัง

ในโอกาสเดียวกับที่ Amazon เปิดตัว Echo Show ลำโพงพร้อมหน้าจอสัมผัส บริษัทก็อัพเกรดความสามารถให้กับลำโพง Echo รุ่นก่อนๆ รวมถึงแอพผู้ช่วยส่วนตัว Alexa บนสมาร์ทโฟนด้วย

ฟีเจอร์ใหม่เรียกว่า Alexa Calling มันคือการใช้ Echo หรือแอพ Alexa โทรออก-รับสายได้เหมือนกับโทรศัพท์เลย แถมยังรองรับการส่ง SMS ได้ด้วย ทั้งหมดคือฟรีไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ

อย่างไรก็ตาม ข้อจำกัดของ Alexa Calling คือคู่สนทนาของเราต้องติดตั้งแอพ Alexa หรือมีผลิตภัณฑ์ตระกูล Echo ด้วยเช่นกัน เมื่อทั้งสองฝ่ายพร้อมแล้ว เราสามารถสั่ง "Alexa, call Dad" หรือ "Alexa Message Mom" ได้ทันที หรือถ้ามีคนโทรมาหาเราผ่าน Alexa เราก็สามารถรับสายด้วยการพูดว่า "Alexa, answer"

eMarketer บริษัทวิจัยตลาดคาดการณ์การใช้งานลำโพงอัจฉริยะที่สั่งงานด้วยเสียงในปีนี้ จะมีชาวอเมริกันใช้งานราว 35.6 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 128.9% โดย Amazon Echo จะครองส่วนแบ่งตลาดมากที่สุดถึง 70.6% จากยอดผู้ใช้งานทั้งหมด

ส่วน Google Home ตามมาเป็นอันดับ 2 ที่ 23.8% ที่เหลือ 5.6% เป็นของเจ้าอื่นๆ รวมกัน อาทิ Lenovo, Harman Kardon, Mattel โดย eMarketer คาดว่าปีต่อไป ส่วนแบ่งของ Amazon Echo จะลดลงและไปเพิ่มให้กับ Google Home แทน แต่ก็ยังเป็นผู้นำตลาดอยู่เช่นเดิม

ทั้งนี้ eMarketer จัดหมวดหมู่ลำโพงอัจฉริยะแยกต่างหากจากกลุ่ม Virtual Assistance ซึ่ง eMarketer คาดว่าจะมีการใช้งานเพิ่มขึ้น 23.1% ในปีนี้

เป็นครั้งแรกที่มีตัวเลขการตลาดของลำโพงอัจฉริยะและ AI ผู้ช่วยที่ใช้คำสั่งเสียง ผลปรากฏว่า Amazon เป็นที่หนึ่งในตลาดนี้ของสหรัฐฯ โดยครองส่วนแบ่ง 70% เรียกได้ว่าทิ้งห่างคู่แข่งไปไกล

อันดับรองลงมาคือ Google Home ครองส่วนแบ่ง 23.8% ด้านผู้เล่นรายอื่นอย่าง Lenovo, LG, Harmon Kardon ครองส่วนแบ่งรวมกันได้เพียง 5.6% เท่านั้น

Amazon ได้เปิดตัว Echo Show อุปกรณ์ในตระกูล Echo ใหม่ พร้อมหน้าจอสัมผัสขนาด 7 นิ้ว และระบบผู้ช่วยเหลือส่วนตัว Alexa

Echo Show มีไมโครโฟนทั้งหมด 8 ตัว มีเทคโนโลยี beam-forming และการตัดเสียงรบกวนเหมือนกับ Echo ตัวอื่น ๆ จึงสามารถฟังเสียงของผู้ใช้ได้ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดของห้อง และยังมีกล้องอยู่ด้านบนตัวเครื่อง ลำโพงอยู่ด้านล่างเครื่อง และจุดเด่นของอุปกรณ์นี้คือหน้าจอสัมผัสขนาดใหญ่ถึง 7 นิ้ว ตัวเครื่องสามารถใช้โทรคุยด้วยเสียงหรือวิดีโอกับผู้ใช้คนอื่นที่มี Echo Show ด้วยกัน หรือผ่านแอพ Echo, Alexa ก็ได้ เพียงสั่ง Alexa ให้โทรออกเท่านั้น

Amazon เปิดตัวอุปกรณ์ใหม่ในตระกูล Echo ในชื่อ Echo Look ซึ่งเป็นกล้องที่ช่วยถ่ายภาพ พร้อมระบบ Style Check ให้คะแนนการแต่งตัวของผู้ใช้ โดยใช้ machine learning algorithm จากคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญด้านแฟชั่น ตัว Echo Look จะมีไมโครโฟน, หลอด LED และฐานสำหรับการติดกับกำแพงหรือให้ตั้งโต๊ะ ผู้ใช้สามารถสั่งให้ถ่ายภาพสไตล์การแต่งตัวเพื่อนำไปเปรียบเทียบกันในแอพ Echo Look และบันทึกเก็บไว้ได้ หรือจะถ่ายวิดีโอเพื่อดูการแต่งกายรอบตัวก็ได้

นอกจาก Echo Look จะมีฟีเจอร์พิเศษคือการแนะนำการแต่งตัวให้ผู้ใช้แล้ว ยังสามารถสั่ง Alexa ให้อ่านข่าว, เล่นเพลง หรือถามข้อมูลอื่น ๆ รวมถึงสามารถลง skill เพิ่มเติมได้เช่นเดียวกับ Echo และ Echo Dot

Amazon ประสบความสำเร็จอย่างสูงกับลำโพงอัจฉริยะ Echo และก้าวต่อไปของบริษัทคือเปิดเทคโนโลยีฮาร์ดแวร์ โดยเฉพาะระบบไมโครโฟนของ Echo ให้พาร์ทเนอร์นำไปใช้งาน

Echo มีไมโครโฟน 7 ตัววางเป็นวงกลมเพื่อรับเสียงรอบทิศทางได้จากระยะไกล ระบบตรวจจับทิศทางของเสียง (beamforming) ระบบตัดเสียงรบกวน (noise reduction) ผนวกกับซอฟต์แวร์ประมวลผลเสียงที่มีประสิทธิภาพ เทคโนโลยีเฉพาะของ Amazon ตัวนี้จะเปิดให้ผู้ผลิตฮาร์ดแวร์รายอื่นๆ ที่ต้องการฝังเทคโนโลยีสั่งงานด้วยเสียง (แน่นอนว่าต้องใช้คู่กับ Alexa) ไปกับสินค้าของตัวเองได้ง่ายขึ้น ไม่ต้องลงทุนวิจัยใหม่อีก

Amazon จะเปิดเทคโนโลยีนี้ให้กับคู่ค้าบางรายเท่านั้น ถ้าใครสนใจก็สามารถยื่นแสดงความสนใจไปได้จากลิงก์ที่มา

กระแส Conversational Action กำลังมาแรงในช่วงนี้ โดยมี Amazon Echo เป็นหนึ่งในตัวจุดประกายสำคัญ และขายดิบขายดีจน Google ต้องทำ Google Home ออกมาแข่ง

ตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา ผมมีโอกาสนำทั้ง Amazon Echo และ Google Home มาใช้เป็นหัวข้อในวิชาเรียนที่ผมสอนอยู่ มีนักศึกษาช่วยกันค้นคว้าและลองเล่นอุปกรณ์ทั้งสอง จึงนำประสบการณ์มาเล่าให้ฟังว่าการใช้อุปกรณ์ทั้งสองในประเทศไทยเป็นอย่างไร โดยแบ่งเป็นหัวข้อย่อยๆ และทำการประเมินด้วยว่าอุปกรณ์จากค่ายใดเด่นกว่า