เว็บไซต์ DigiTimes รายงานอ้างอิงแหล่งข่าววงในของชิปซัพพลายเออร์ระบุว่า ในช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา แอปเปิลมียอดสั่งชิปเพิ่มขึ้น สวนทางกับผู้ผลิตสมาร์ทโฟนเจ้าอื่นที่ชะลอการสั่งออเดอร์ลง เพื่อรับมือกระแสของ iPhone 8 ที่กำลังจะมาเร็วๆ นี้
แหล่งข่าวจากชิปซัพพลายเออร์ระบุว่า ตามปกติแล้วยอดสั่งผลิตชิปจากผู้ผลิตค่ายที่ไม่ใช่แอปเปิลจะเริ่มมาตั้งแต่เดือนเมษายนและเพิ่มขึ้นไปจนถึงเดือนสิงหาคม ขณะที่ปีนี้ยอดสั่งซื้อกลับชะลอ เนื่องจากกระแสข่าวของ iPhone 8 ที่ถูกมองว่าจะมาพร้อมฟีเจอร์และนวัตกรรมใหม่ๆ ขณะที่ซัพพลายเออร์คาดว่าออเดอร์เหล่านี้จะไม่เพิ่มขึ้นจนถึงไตรมาสสุดท้ายของปีเลย
ที่มา - DigiTimes
Comments
ให้มันจริงเถ๊อะ ดูไซน์ที่หลุดมาก็เรียกว่าโดน Samsung เปิดตัวไปหมดแล้ว ถ้าจะมีตอนนี้คงบอดี้ไทเทเนียม หรือชาร์จไรสายระยะ 10 เมตร ไม่ก็กล้องสามารถถ่ายได้ในความเข้มแสง 0 Lux หรือมีโฮโลแกรม โอนวัตกรรมรอเปิดอีกเยอะเลยนะ
สมัยนี้คนซื้อไอโฟนคงปลงๆ กับดีไซน์แล้วล่ะ แต่ที่ยังใช้กันอยู่ เพราะชอบระบบ iOS ล้วนๆ เลย
ส่วนตัวใช้ไอโฟนเพราะระบบของ iOS จริงๆ ต่อให้ดีไซน์กากกว่าชาวบ้านก็ตาม
หรือไม่ก็ข้อมูลต่างๆของตัวเองผูกกับผลิตภัณฑ์ของแอปเปิ้ลเยอะ จนลำบากในการย้ายไปกูเกิ้ล ถึงแม้ดีไซน์กับฟังก์ชั่นจะเริ่มว้าวน้อยลงไปทุกทีๆ
ตรงข้ามกับผมเลยแหะ ทุกอย่างฝากไว้กับ Google หมด แต่ยุคนี้ iOS ก็รองรับบริการของ Google ที่ผมใช้หมด ทุกวันนี้ใช้ iPhone เพราะ iOS ครับ
แต่ถ้าฝากข้อมูลไว้กับ Apple นี่คงย้ายไป Android ลำบากหน่อยนะครับ
ใช้ไอโฟนเพราะเพลงลงไว้ใน iTune เยอะตั้งแต่สมัยเป็นไอพอดแล้ว ไม่นับเพลงซื้ออีก
ย้ายมาใช้แอปเปิ้ลมิวสิคก็ได้นี่ครับ
ไม่ได้ครับ แอปเปิ้ลมิวสิคเป็นบริการสตรีมมิ่ง ไม่ใช่แอปสำหรับฟังเพลงออฟไลน์จากในเครื่อง ไม่สามารถซิงค์มือถือกับไอทูนส์ได้ครับ
ถ้าจะซิงค์แอนดรอยด์กับไอทูนส์ต้องใช้แอป 'iSync' ครับ.
อ๋อ ผมเข้าใจผิดไป ขออภัยครับ
ดีไซน์แบบนี้ผมไม่คิดว่ากากนะครับ ไอโฟน 6 2 ปีแล้วก็ยังมีคนพยายามทำเลียนแบบอยู่ ไอโฟน 5 นี่วันก่อนผมเห็นเด็กที่เซเว่นใช้ฟังเพลงก็ยังแอบคิดว่ามันก็ยังดูสวยดีนะเหมาะมือ ผิดกับหลายๆรุ่นที่พอพ้นช่วงโหมโฆษณาก็เฉยๆแล้ว ยิ่งการที่แอปเปิ้ลไม่ค่อยเปลี่ยนดีไซน์ สำหรับผมคือข้อดี (ทำให้รู้สึกว่าโทรศัพท์ตัวเก่ามันไม่เก่าโบราณ แต่เป็นเก่าลายครามมีสตอรี่)
คหสต ล้วนๆครับ
ยกมือ 5s ครับชอบมาก จอแตกไปสองรอบยังไม่ยอมไปไหน
ส่วนตัวผมยกให้ไอโฟน 4 สวยที่สุด...
แต่ตอนนี้ใช้ไอโฟน 5 เปลี่ยนแบตมาก็ Fin เลย...ยังใช้ได้ดี
ที่รับไม่ได้เลยคือลายเส้นไอโฟน 6 ถึงแม้จะรู้ว่าใส่เคสปิดได้
แต่ก็ยังทำใจยอมรับงานออกแบบเส้นหลังแบบนี้ไม่ได้
Nokia จอขาวดำสไลด์ออกจากฝักสมัยก่อนก็ไทเทเนี่ยมนะ ถ้าจำไม่ผิด
อ่าวจริงดิ ซัมซุงมีรุ่นทอบใช้บอดี้กระจก เหมือนในข่าวลือไอโฟนแปดแล้วเหรอครับ
ผมใช้ apple เพราะ software และ support ครับ
สองเรื่องนีซัมซวยกากมาก
ด้วยเหตุนี้ผมเลยใช้ iPhone ที่สั่งจาก Apple Store ตลอด
ส่วนต่างแค่ 8000 ทำให้ผมใช้มือถือสบายใจไปได้ 4-5 ปีถือว่าถูกมากครับ
ถ้าเป็นซัมซวยเดินออกจากร้านไปเครื่องดับเดินกลับเข้ามาก็ต้องส่งเคลมเดือนนึงละมั้งน่ะ
iPhone นี่ Apple ส่ง DHL มารับเครื่องหน้าบ้านพร้อมเครื่องใหม่มาเปลี่ยนให้เลยครับ
ประสบการณ์ตรง
ประสบการณ์ตรงข้ามกับผมเลย
Samsung ผมซื้อจากร้านในห้าง ใช้ไม่ถึง 7 วัน เครื่องดับเอง
เอาไปเปลี่ยนก็ได้ของใหม่เลย
ส่วน apple ผมมีประสบการณ์กับ macbook จอเหลือง
ที่ขอเปลี่ยนแต่ต้องรอส่งของคืนก่อน แล้วก็รอเครื่องใหม่มาส่ง
กินเวลา 2-3 สัปดาห์ ซึ่งนานมากและจอก็เหลืองเหมือนเดิม
แปลกมากซื้อกับ Apple รึเปล่าครับหรือว่าซื้อกับร้านในไทย
ในไทยไม่มีร้านของ Apple สักร้านเลยนะ
เดาว่าซื้อออนไลน์นั่นแหละครับ คือสินค้าบางชนิดมันไม่ได้มีพร้อมส่งตลอดเวลา อย่างแมคบุคถ้ามีปรับสเปคก็ต้องใช้เวลาผลิตระยะนึง ไหนจะระยะเวลาขนส่งอีก เรื่องปกติของมัน แต่เคสนี้ดันซวย เครื่องที่เคลมใหม่ดันมีปัญหาแบบเดิม
MBA ผมก็สั่งจากในสโตร์เขา เครื่องมีปัญหานิดหน่อย เวลาปิดฝาชิ้นบนกับชิ้นล่างมันไม่เท่ากันพอดี เหลื่อมกันนิดนึง แต่ด้วยความที่รีบใช้เลยตัดสินใจใช้ต่อเลย รอเปลี่ยนไม่ไหวครับ
แต่ยังไงก็ไว้ใจกว่าของซัมซุงนะ
หลีกทางให้ขนาดนี้เชียว
เรียกว่าสู้ราคาไม่ไหวดีกว่าครับ ประมาณนายทุนเข้ากว้านซื้อทุเรียนจนเกลี้ยงสวน ราคาเลยพุ่งจนชาวบ้านตาดำๆซื้อไม่ไหวต้องรอทุนเรียนรอบใหม่มาก่อน
ว่าแต่ยี่ห้ออื่นๆ ทำไมต้องใช้ iphone เป็น baseline ตลอดด้วยก็ไม่รู้ ส่วนแบ่งตลาด ios มี 14% เอง
ใน high-end market ผมว่า Apple น่าจะมากกว่านี้นะ
เพราะ Apple กวาดกำไรในตลาดโทรศัพท์สูงที่สุดไงครับ ส่วนแบ่งตลาดจำนวนมากมันมาจากกลุ่มที่ส่วนแบ่งกำไรน้อยมากๆ ขณะที่ส่วนแบ่งตลาดไม่กี่เปอร์เซนที่กำไรดีมากๆ นี่แหละกลับถูก Apple กวาดไป เรือธงเจ้าอื่นก็ได้แต่มองตาปริบๆ
ให้มันจริงอยากที่เคยโม้ไว้บ้างก็ดี ไม่ใช่เปิดตัวออกมาแค่ขยะราคาแพงชิ้นนึงที่ลูกเล่นค่ายอื่นเอาไปทำก่อนหน้าหมดแล้ว
+1000
ตอนก่อนที่ Steve Jobs อยู่ ถึงแม้จะเอาจากยี่ห้ออื่น แต่สามารถทำให้คนว้าวและเจ้าของฟังก์ชั่นต้องปรับตาม แต่ตอนนี้ก็กลายเป็นอย่างที่คห.บนบอกเลย
เรื่องลูกเล่นอะไรเนี่ย ถ้าเป็นลูกเล่นที่ใส่เอาไว้เพื่อเล่นๆ ใช้งานแบบจริงๆ ไม่ค่อยได้ผมว่าแอปเปิลก็ไม่ค่อยแคร์อะไรตรงนี้สักเท่าไหร่อยู่แล้ว เท่าที่เห็นก็พยายามทำจนคิดว่ามันใช้งานได้ดีระดับหนึ่งถึงค่อยใส่มา ซึ่งก็ดูเป็นเรื่องที่ทุกคนน่าจะเห็นมาโดยตลอด ส่วนเรื่อง Wow เนี่ยสำหรับผมมันไม่ใช่เฉพาะแค่ Apple หรอกครับ หลังจากไอโฟน 4 เป็นต้นมาไอ้อาการ Wow เวลาที่เห็นมือถือใหม่ๆ เปิดตัวก็ไม่มีให้เห็นแล้ว
+1
ถ้าที่มีอยู่มันไม่ได้ทำให้ใช้งานลำบาก ลูกเล่นก็ไม่มีความจำเป็นอะไร
วันอาทิตย์ที่ผ่านมา ว่างๆนอนเอกเขนกเลยเอา Lumia 830 ตัวเก่ามาจิ้มๆรำลึกความหลังดู กดไปกดมาคอร์ทาน่าถามว่าจะให้แนะนำข่าวอะไรเพิ่มไหม? กดokไป มันก็พาไปอ่านข่าวบันเทิง ข่าวของทรัมป์ขำๆดีผ่าน explorer กากๆนั่นล่ะ ทำให้จินตนาการไปว่าจริงๆถึง WP จะแทบไม่มีลูกเล่นอะไรเลย แต่ถ้าไมโครซอฟท์สร้าง AI ฉลาดมากๆออกมาได้ตอนนั้น ต่อให้ไม่มี App อะไรมาก มันก็อาจจะสร้างความพึงพอใจในอีกแบบให้กับลูกค้าได้เหมือนกันครับ
ไม่แคร์แถมยังเกรียนว่าลูกเล่นพวกนี้ไม่มีประโยชน์ด้วยนะครับ เพราะตอนนั้นไม่มีอะไรไปสู้เขาก็เลยใช้กลยุทธ์ลดคุณค่าของฝ่ายตรงข้าม พอตอนหลังไม่มีมุกก็ช็อปลูกเล่นเหล่านี้มาใส่ให้ดูมีความเปลี่ยนแปลงในผลิตภัณฑ์ตัวเองเอาตัวรอดแบบปีต่อปี อย่างคอนนี้ผมว้าวกับ super slow motion ของ Xperia XZ Premium ก็ต้องรอดูเมื่อไหร่ Apple จะช็อปมาลงมือถือตัวเอง ก็คงอย่างที่คุณ nrml ว่า รอให้มันดีระดับนึงค่อยใส่มา แต่สิ่งสำคัญกว่านั้นน่าจะเป็นการรอให้ราคาลงค่อยช็อปมาใส่มากกว่าครับ
ผมว่ามันก็ไม่มีประโยชน์จริงๆนะเหมือนเอาไว้เห่อเล่นว่า เฮ้ยตูมีของใหม่นะเว้ย แต่เอาเข้าจริง..อือไม่ได้ใช้ว่ะหรือไม่ก็ใช้แล้วหงุดหงิดเหมือนเครื่องปาล์มรุ่นแรกๆที่พยายามให้เขียนที่จอได้แต่เส้นแม่มขาดเป็นจุดๆอ่ะครับฟีลประมาณนั้น
ผมว่าเท่าที่เห็นมันก็บลัฟกันไปบลัฟกันมาเป็นปกติแหละ จะให้บอกว่าผลิตภัณฑ์ของตัวเองด้อยกว่าคู่แข่งก็ยังไงๆ อยู่ ส่วนเรื่องการเอามาใส่ตอนไหนยังไงเนี่ยก็คงเป็นไปตามแผนการตลาด ซึ่งจริงๆ มันก็ดูน่าเบื่อไม่ว้าวจริงๆ นั่นแหละครับ แต่ว่าการยืนหยัดอยู่ในตลาดได้นานขนาดนี้ก็น่าจะพอพิสูจน์บางอย่างได้ว่า ถึงแม้มันจะน่าเบื่อแต่มันก็น่าจะมีส่วนที่ดีและเป็นจุดแข็งของมันอยู่ ถึงได้รอดมานานขนาดนี้ ทั้งๆ ที่มีหลายคนก็บอกว่าเห็นสัญญานแห่งการล่มสลายมานานหลายปีแล้ว
ของห่วยจริงมันก็มี แต่บางอย่างมันก็ไม่ได้ห่วยขนาดนั้น บางอย่างก็ดีมาก แต่สำหรับ Apple ก็จะบอกว่าของที่ตัวเองไม่มีไม่จำเป็นไม่มีประโยชน์ครับ พอจะเอามาใส่เพราะไม่มีมุกในปีนั้นก็จะกลับคำที่เคยพูดไว้ การกระทำแบบนี้มันเป็นแทคติกทางธุรกิจเพื่อทำลายคู่แข่งเฉย ๆ ไม่ได้แข่งขันบนนวัตกรรม
ปล.พวกสัญญาณแห่งการล่มสลายนี้ผมไม่เคยเล่นด้วย เพราะไม่เคยอยากให้ Apple ล่ม กว่าจะมีบริษัทที่สั่งสมนวัตกรรมมาระดับนี้มีไม่กี่เจ้า ถ้าล่มสลายไปย่อมน่าเสียดาย การแข่งขันเสรีดีกว่าตลาดผูกขาดสำหรับคนที่เป็นลูกค้าอย่างเรา การที่คู่แข่งกากการพัฒนาของผลิตภัณฑ์ก็เดินช้า ถ้าสู้กันสูสีการพัฒนาก็จะเร็ว แต่ถ้ามัวแต่ใช้กลยุทธ์ทางธุรกิจทำลายคู่แข่งอันนั้นแย่ครับ ผมก็มักจะวิจารณ์การกระทำที่มีเจตนาทำลายคู่แข่งเพื่อผูกขาดตลาดของ Apple ตลอด เพราะมันไม่ดีสำหรับตัวผมเองและผู้บริโภคทุกคนครับ
ถ้าการบลัฟแบบนั้นเรียกว่าการทำลายคู่แข่งผมว่ามันก็ทำลายกันทุกฝั่งทุกครั้งที่มีโอกาสแหละครับ ส่วนในย่อหน้าที่สองนี่ผมก็เห็นด้วยครับว่าการมีคู่แข่งที่สมน้ำสมเนื้อมันเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภคมากกว่าการที่มีบริษัทใดบริษัทหนึ่งมีอำนาจเหนือตลาดแบบเบ็ดเสร็จ
การบลัฟโดยคนที่มีภาพลักษณ์น่าเชื่อถือนี้ค่อนข้างได้ผลเลยนะครับ ยิ่งถ้าคู่แข่งเป็นบริษัทใหม่หรือบริษัทต่างชาติ เพราะลูกค้าบางพวกเขามีความซื่อสัตย์ต่อผลิตภัณฑ์สูงและไม่สนใจเรื่องการครอบงำตลาดและข้อเสียของการไม่มีการแข่งขันเสรี มีตัวอย่างให้เห็นเยอะแยะทั้งในบ้านเราและต่างประเทศครับ วิธีแบบนี้มันเป็นการสร้าง mindless zombie เพื่อโจมตีภายตรงข้ามไม่ได้สู้กันด้วยนวัตกรรม ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่ไม่น่าปลื้มเลยครับ เหมือนกีฬาสีบ้านเรา ซอมบี้สองฝั่งก็จะพูดเหมือนเดิมทำเหมือนเดิมแล้วก็ทำร้ายกัน แล้วประเทศเจริญมั้ยครับ ก็ไม่ครับ กลยุทธ์แบบนี้สร้างแต่ความเสียหายไม่สร้างความเจริญครับ การพูดให้ร้ายฝ่ายตรงข้ามเพื่อให้เกิดประโยชน์เฉพาะกลุ่มของตนเองโดยใช้กลุ่มคนที่ไม่รู้หรือคิดไม่ทันเป็นเครื่องมือน่าจะได้รับการดูแลและนำเสนอข้อมูลข้อดีข้อเสียที่แท้จริงแก่คนธรรมดาไม่ให้ตกเป็นเครื่องมือของคนที่ได้รับผลประโยชน์จากการกระทำนั้นครับ
คุณอาจจะรับวัฒนธรรมการบลัฟไม่ได้หรือเปล่าครับ ซึ่งการบลัฟในประเทศที่เจริญแล้วมันดูเหมือนจะเป็นเรื่องปกติของที่นั่น ซึ่งจะว่าไปมันก็ดูเปิดให้ทั้งสองฝั่งสามารถฟาดฟันกันได้อย่างเต็มที่และดูไม่เหมือนว่าเป็นการขัดขวางนวัตกรรมตรงกันข้ามกลับยิ่งเป็นการส่งเสริมมากกว่านะครับ
ฝั่งผู้ใช้ได้ประโยชน์อะไรเหรอครับ ได้เชียร์ฝั่งตัวเองสาปส่งฝั่งตรงข้าม? ส่งเสริมนวัตกรรมยังไงครับ NFC? ชาตไร้สาย?
ผมไม่ใช่รับไม่ได้ครับ ผมแค่ชี้ให้เห็นเฉย ๆ ว่ามันมีบริษัทที่ใช้ประโยชน์จากสิ่งนี้ ซึ่งมันไม่ได้มีประโยชน์อะไรกับเราเลย เราอยู่กับของพวกนี้มานานมากแล้ว นานจนน่าจะรู้ทันบริษัทพวกนี้สักทีครับ ในประเทศที่เจริญเค้าก็ไม่ได้สนับสนุนนะครับ เพียงแค่ถ้ามันเป็นเสรีภาพในการแสดงออก ถ้าไม่ผิดกฏหมายเค้าก็ไม่มีใครไปยุ่งเฉย ๆ ครับ ซึ่งทุกคนก็รู้ว่าบางอย่างมันแย่แต่มันไม่ผิดกฏหมายครับ ก็หัวเราะกันเฉย ๆ แค่บริษัทจะให้ข้อมูลคู่แข่งที่พิสูจน์ยากว่าจริงหรือไม่แก่ลูกค้านิดหน่อยไม่เป็นไรประมาณนั้นนะครับ แล้วมันก็มีคนคิดเป็นจริงเป็นจังและรู้ไม่ทันเยอะนะครับ หรือไม่จริงครับ
จริงๆมันก็เป็นวิธีการทางการตลาดทั่วๆไปครับ ก็ต้องสื่อสารให้ตัวเองดีกว่าคู่แข่งอยู่แล้ว ซึ่งสิ่งที่สื่อสารออกมาก็ไม่ได้เกินเลยเพราะเค้าทำได้ตามที่พูดจริงๆ ธุรกิจไหนๆหรือแบรนด์ไหนๆก็ทำครับ ไม่มีแบรนด์ไหนในโลกที่ทำการตลาดแบบเสนอข้อดีข้อเสียที่แท้จริงอะไรแบบนั้นหรอกครับ
ผมว่าเอาไปเทียบกับกีฬาสีบ้านเรามันก็เกินไปหน่อย อันนั้นมันเรื่องการเมือง การใช้ชีวิต จริยธรรม ไม่ใช่แค่วัตถุทางบริโภคนิยม
มันเป็นสิ่งเดียวกันครับ กีฬาสีบ้านเรามันก็แค่การตลาดทั่วไปนั้นแหละครับ ใครอัดสื่อใส่สมองได้เยอะกว่ากันก็ชนะ ไม่อย่างนั้นเกาหลีเหนือหรือประเทศปกครองแบบเผด็จการจะทำให้ประชาชนสงบเชื่อฟังได้ยังไงครับ Propaganda ทุกวันทุกช่องทางเท่านั้นที่ทำให้คนที่ข้อมูลน้อยเชื่อตามครับ แล้วการอัดสื่อเพื่อให้เกิดความเคยชิน การจะสร้าง monopoly ก็ทำแบบเดียวกันนั้นแหละครับ
ทั้งเรื่องการใช้ชีวิต จริยธรรม หรือการเมือง เราถูกอัดมาจากสื่อต่าง ๆ นั้นแหละครับ ถ้าไปโดนสื่อประเทศอื่นอัดเราจะรู้สึกไม่สบายใจ ต่อต้าน หรือไม่ก็ยอมรับเข้ามาใส่ตัว ซึ่งการยอมรับมาใส่ตัวก็ต้องคิด วิเคราะห์ แยกแยะ กับข้อมูลเก่าที่เรามี บางทีบางสิ่งบางอย่างมันก็ไปด้วยกันไม่ได้ครับ บางสิ่งที่ทะแม่งทะแม่งมันก็จะกลายเป็นเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง บางอย่างที่คาดไม่ถึงก็ปรากฏออกมาครับ
ผมว่าถ้าคุณจะมีมุมมองในเรื่องนี้ตามที่คุณว่ามาก็คงไม่มีใครห้ามได้ เรื่องการบลัฟผมมองว่าเป็นเรื่องการตลาดของบริษัทที่ฟาดฟันกันอยู่ข้างบน ซึ่งตัวผู้บริโภคก็ต้องมีวิจารณญานในการตัดสินใจเองครับ ของที่มันดีมีประโยชน์สำหรับเรายังไงมันก็มีประโยชน์อยู่ดี ต่อให้อีกฝ่ายจะโจมตีอะไรขนาดไหน อย่างเช่นเรื่องที่มันสามารถเห็นได้ชัดๆ เช่นเรื่องการชาร์จเร็ว เรื่องกันน้ำ ที่มันเป็นรูปธรรมชัดเจนแบบนี้เป็นต้น ต่อให้มีคนมาบลัฟว่ามันไม่ดีมันก็คงไม่มีใครบ้าจี้ตามขนาดไปเชื่อว่าไอ้ฟีเจอร์แบบนี้มันไม่ดีอย่างที่เขาเป่าหูมา
เรื่องที่ว่าการบลัฟกันมันจะทำให้เกิดการแข่งขันได้ยังไง ผมว่ามันก็ชัดเจนในตัวเองแล้วนะ ถ้าเกิดไม่มีการบลัฟผมว่าความก้าวหน้าทางนวัตกรรมคงช้ากว่านี้เยอะ
ผมก็แค่อยากจะชี้ให้เห็นว่าที่บริษัทบลัฟกันคนที่ได้ประโยชน์ก็คือบริษัทไม่ใช่ผู้บริโภคครับ ผมไม่ได้บอกว่าห้ามบลัฟแต่อยากให้ผู้บริโภครู้ทันคำบลัฟเฉย ๆ ครับ แล้วที่คุณว่าคนไม่บ้าจี้ตามขนาดนั้นนี้มันใช่เหรอครับ เห็นเป่าเรื่อง NFC เพื่อจะสร้าง Pass book ที่ไม่เป็นมาตรฐานขึ้นมา ก็เพื่อประโยชน์ของบริษัทไม่ใช่เพื่อความสะดวกของผู้บริโภค โชคดีที่ไม่สำเร็จนะครับ (มาตรฐานไม่ได้ขัดขวางการแข่งขันเสรีแต่มีเพื่อความสะดวกแก่ผู้บริโภคที่ใช้ผลิตภัณฑ์ต่างยี่ห้อใช้บางสิ่งบางอย่างที่มันต้องการมาตรฐานเดียวกันได้ แต่ในกรณี Apple แค่ต้องการยึดครองตลาดเฉย ๆ ครับ)
การบลัฟมันเป็นการกระทำที่จะเอาเปรียบคู่แข่งครับ แล้วก็หลอกลวงลูกค้าด้วยครับ การแข่งขันมันมีทั้งการแข่งขันที่สะอาด กับแข่งแบบสกปรกนะครับ แล้วแข่งแบบสกปรกเพื่ออะไรครับ เพื่อทำลายการแข่งขันเสรียังไงละครับ จะได้ยึดครองตลาดได้
เรื่อง NFC มันก็ดูสอดคล้องกับสิ่งที่ผมว่ามานี่ครับ เพราะดูแล้วประโยชน์ที่ได้รับมันก็ดูไม่ได้มีมากเพียงพออย่างที่คิดไว้ ทุกสิ่งทุกอย่างทั้งสิ่งที่ดีมีประโยชน์ ไม่มีประโยชน์หรือแม้แต่ของดีแต่ไม่มีประโยชน์มากเพียงพอรวมถึงของที่ดูไม่คุ้มค่าหรือใช้งานยาก สุดท้ายจะอยู่รอดหรือตายไปก็จะเป็นเรื่องของกลไกของตลาดซึ่งมีผู้บริโภคเป็นคนตัดสิน
ผมไปไหนไม่ได้แล้วโดนมาเยอะ
iphone เกิดมาเพื่อ ถูกใช้ แค่มีเอาไว้ใช้ เท่านั้น
มีไว้ให้ ... คนใช้ ว่างั้น (ต้องตีความ)
โง่?
minor change มาหลายปีหวังว่าปีนี้จะ major change นะ
เดี๋ยวพี่มีราคาเป็น major change แล้วจะหนาว
^ ^ (-o-)