Chris Metzen อำลาวงการเกมไปเมื่อต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมาด้วยวัย 42 ปี ก่อนที่เขาจะลาออก Metzen ดำรงตำแหน่ง senior vice president ด้าน story และ franchise development และเป็นผู้ที่เรียกได้ว่าเป็นหน้าเป็นตาของ Blizzard
ข่าวการลาออกของเขาจึงสร้างความประหลาดใจแก่แฟนค่าย Blizzard จำนวนมาก ก่อให้เกิดคำถามว่า เหตุใด หนึ่งในผู้ให้กำเนิดแฟรนไชส์ที่โด่งดังอย่าง Warcraft, Starcraft และ Diablo จึงตัดสินใจเช่นนั้น
ในตอนล่าสุดของ The Instance (กลุ่มพอดแคสติงเกม World of Warcraft ดำเนินโดย Scott Johnson) Metzen พูดคุยกับ Johnson ถึงเหตุผลที่เขาลาออกจากบริษัทที่อยู่ด้วยมาถึง 20 ปี
“การตัดสินใจลาออกจาก Blizzard ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายเลยแม้แต่น้อย” Metzen อธิบาย “ผมอยู่ที่นั่นมาตั้งแต่สมัยที่เรียกว่ายังเป็นเด็กด้วยซ้ำ ตอนที่ผมได้รับการว่าจ้างจาก Blizzard ตอนนั้นผมอายุ 19 ปี และหลังจากนั้นมันก็กลายเป็นชีวิตของผม เป็นตัวตนของผม เป็นสิ่งที่ผมทุ่มเทให้ มันเป็นอะไรที่สุดยอดมาก แต่การพยายามอย่างหนักเช่นนั้น ในบางครั้งก็ต้องมีสิ่งที่สูญเสียกันไปบ้าง”
Metzen กล่าวถึงช่วงเวลาที่สูญเสียไปในการทำให้เกม Overwatch เกิดขึ้นมาได้ เพราะ Overwatch เป็นดั่งนกฟีนิกซ์ ที่ฟื้นขึ้นมาจากซากของเกมที่ตายไปแล้วในนามโปรเจค Titan เกมที่ควรจะได้เป็นเกม MMO อันยิ่งใหญ่ ก่อนถูกยกเลิกหลังจากพัฒนามาถึง 7 ปี “ช่วงเวลาดังกล่าวทำให้ผมรู้สึกเหนื่อยล้าเป็นอย่างมาก”
“ผมคิดว่าในใจลึก ๆ ผมต้องการเปลี่ยนแปลงชีวิตของตัวเอง ผมอยากก้าวเดินให้ช้าลงบ้าง ผมไม่อยากแบกรับน้ำหนักทั้งหมดนี้ไว้คนเดียว แต่เมื่อคุณอยู่ที่ Blizzard มานานแบบผม ให้ลองนึกถึงภาพยนตร์เรื่อง Shawshank Redemption ผมกลายเป็นส่วนหนึ่งของระบบ (institutional man) ไปแล้ว แต่อย่างไรก็ตาม ท้ายที่สุดแล้วผมก็คือส่วนหนึ่งของ Blizzard ผมรักผู้คนและสถานที่แห่งนี้”
แต่แล้ว Metzen และทีมของเขาก็ทำในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ขึ้นมา ด้วยการดันให้โปรเจคที่ล้มเหลวอย่าง Titan กลายเป็นสิ่งที่ประสบความสำเร็จ พวกเขาสามารถฟื้นคืนชีพ Overwatch ได้ แต่สิ่งนี้ก็ทำให้ฟางเส้นสุดท้ายของ Metzen ขาดลง
"ผมเริ่มรู้สึกตื่นตระหนกและวิตกกังวลตลอดเวลา ก่อนที่ผมจะลาออกผมก็คิดว่าสิ่งนี้มันเกิดขึ้นเป็นเรื่องปกติ แต่ในขณะนั้นผมยังไม่เข้าใจว่ามันคืออะไรกันแน่ ผมและ Kat ภรรยาของผมมักจะไปออกเดทและดูหนังด้วยกันอยู่เสมอ แต่ผมก็เริ่มเกิดอาการตื่นตระหนกในระหว่างที่ดูหนังขึ้นมา ผมไม่รู้เลยว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับตัวผมกันแน่"
อาการตื่นตกใจของ Metzen ประกอบกับลูกสาวของเขาที่ลืมตาดูโลกได้ไม่นาน ได้บีบคั้นให้เขาต้องตัดสินใจทำในสิ่งที่ยากลำบากอย่างการลาออกครั้งนี้ไป
ผู้ที่สนใจจะรับฟังบทสัมภาษณ์ฉบับเต็ม สามารถรับฟังได้ที่ลิงก์ต่อไปนี้ The Chris Metzen Interview
Out now, my interview with @ChrisMetzen. On the Instance and BOOP podcast feeds. SoundCloud too! https://t.co/hMoL1l0j2s pic.twitter.com/MvIbyFZQV1
— Scott Johnson (@scottjohnson) November 15, 2016
Comments
ทั่งครอบครัว ทั้งงาน ผมว่าเค้าตัดสินใจของเค้าคือสิ่งที่ดีที่สุดและ :)
มือใหม่!! ใหม่จริงๆนะ
เป็นโรค panic หรอครับ
ใช่ครับ เป็นโรค panic
Pitawat's Blog :: บล็อกผมเองครับ
me too
มันเริ่มมาจากนอนไม่ค่อยหลับหลายๆ วัน แล้วตีสี่คืนหนึ่งก็เกิดอาการแน่นหน้าอก หายใจยากอึดอัด รู้สึกจะวูบ ฝุ้งซ่าน เดี่ยวร้อนเดี๋ยวหนาว กระวนกระวาย บางทีก็หงุดหงิด รู้สึกใกล้จะเสียการควบคุมร่างกายและอารมณ์แต่ก็พยายามทนแต่ไม่ไหวจริงๆ ตอนเพื่อนส่งไปโรงบาลแขนขานี่กระตุก เข้า ER กินยาคลายเครียดซักสิบนาทีก็รู้สึกโอเค กินต่ออยู่อีกสามวันแล้วก็หยุดมันหายไปเดือนนึงแล้วมันก็ค่อยๆ มาอีก มาตอนนังกินสุกี้กับเพื่อนๆ ขึ้นรถไปโรงบาลอีกนั่งสั่นกระตุกไป หลายวันจากนั้นยาคลายเครียดเอาไม่อยู่แล้วเริ่มเบื่ออาหารซัก 2-3 วัน
มีความทรมาณ/กลัวว่าจะบ้าจะตาย/กังวลว่าจะเกิดอาการอีก มันกัดกินความมั่นใจผมไปพอดู
หลังจากไปจิตเวช ได้ยามากินเกือบ 20 วันละรู้สึกใกล้เคียงปกติ(ดีขึ้นตั้งแต่วันที่ 3-4 แต่ยังต้องกินอีกยาว)
หลักๆแล้วเป็นเพราะความเครียด, ความเครียดสะสม หรือ พักผ่อนไม่เพียงพอหรอครับ
ตอนนี้กังวลเรื่องนี้อยู่ เพราะพักนี้รู้สึกเครียดๆและกดดันเรื่องงาน เวลาไม่ได้ทำงานก็รู้สึกเครียดและกดดัน กลัวงานจะไม่เสร็จ พอเวลาทำงานค่อยรู้สึกโล่งหน่อยที่ได้ทำงาน แต่ทำงานไปนานๆมันก็เครียดสะสมอีก
ส่วนตัวคิดว่ามันร่วมกันทั้งความเครียดและสภาพร่างกาย
โดยปกติผมแทบไม่เครียดเลยครับ งานดีไม่กดดัน เพื่อนดี สุขภาพก็ดีครับวิ่งออกกำลังวันเว้นวัน อาจมีเหงาๆ ตามประสาคนโสดแต่ก็ชิลๆ มาเป็นสิบปี
น่าจะเกิดจากช่วงเดือนก่อนพึ่งกู้ซื้อบ้านมือสอง มีอะไรต้องทำ/ปรับปรุงอยู่หลายอย่าง เก็บไปคิดและหมกมุ่นมากไป ออกกำลังกายน้อยลง ผมไม่รู้ตัวหรอกนะว่าเครียด จนกระทั่งนอนไม่ค่อยหลับหลายวัน
ก่อนเกิดอาการในคืนนั้นผมเองจัดบ้านจนเหนื่อยและล้ามาก ตื่นมาท้องเสียตอนตีสามกว่าๆ พอกลับไปนอนเท่านั้นละรู้สึกตื่นตัวแปลกๆ แล้วอาการต่างๆ ก็เริ่มมาและมันแปลกไม่เคยเจออาการแบบนี้มาก่อน ทั้งตกใจและกลัวอย่างมาก คิดว่าตัวเองหัวใจจะวาย รึสมองรวน อาการต่างๆ มันบีบคั้นควบคุมไม่ได้(ทำสมาธิแล้วก็ไม่รอด มันกระวนกระวายไปหมด) กลัวตายมากครับเวลานั้นรู้สึกควบคุมไม่ได้จนต้องเข้าโรงบาล
ขอบคุณครับที่แบ่งปันประสบการณ์ให้ได้รับรู้ หวังว่าจะหายขาด ไม่กลับมาเป็นอีกนะครับ
ผมเคยนอนน้อยช่วงวัยเอ๊าะๆก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่พอจะใกล้ 30 เกิดอาการ panic พร้อมกับปัญหากระเพาะและลำไส้อักเสบ
สายงานนี้ถ้าร่างกายไม่อึดจริงอย่าทำครับ (ครูหนักกว่าอีกมั๊ง) อย่าลืมว่าการนอนน้อยเพิ่มความเสี่ยงของมะเร็งทางเดินอาหารสูงมากครับ (ผมเสียเพื่อนไปคนหนึ่งแล้ว)
สมัยก่อนตอนผมอยู่ บ.เกม ขนาดเป็นบ.ที่สบาย ๆ ยังทำงานสิบโมงถึงเที่ยงเลยครับ (ฟังดูน้อยเนอะ ?)
เที่ยงวันรึเที่ยงคืนครับ?
สิบโมงถึงเที่ยงของอีกวัน รึเปล่าครับ
ช่วงนี้ผมทำงาน 6 วันต่อสัปดาห์
เช้าตื่น ตีห้าครึ่ง นอนเที่ยงคืนทุกวัน
ที่ออกไปทำงาน
มีช่วงนึง เริ่มงานที่วิภาวดีตอน
แปดโมงครึ่ง เลิกตีสอง นอนตีสามอยู่
สามเดือนกว่าๆ ยังไม่มีอาการ
Panic ครับ หรือผมชินแล้วฟะ?
Midlife crisis
มันคืออาการความเครียดสะสม เพราะต้องแบกรับอะไรบางอย่างเอาไว้
เคยเป็นตอน ธุรกิจ ขยายตัวเร็ว จนหมุนเงินไม่ทัน นอนไม่เคยเกินวันละ 4 ชั่วโมงเลย เพราะตื่นเอง
ถอนตัวออกมาก่อนก็ดีครับ ร่างกายของเราสำคัญที่สุด หาอะไรที่เหมาะกับตัวเองทำ
เคยเป็นตอนงานหนักและทำอย่างหักโหม มือสั่นเวลากินข้าว เวลาเดินไปไหนจะคิดว่าหน้าจอคอมอยุ่ตรงหน้าตลอดเวลา สมองไม่คิดอะไรเลยนอกจากโค้ดแต่ละบรรทัด และจุดที่บั๊ค นน. ลด และกลัวที่จะเจอผู้คนแปลกหน้า แต่พอลาออกจากที่นั่นแล้ว มันตัวเบาโหวง โล่งไปหมดเลย ได้คิดอะไรสิ่งใหม่ๆ และรู้เลยว่า เราควรแบ่งส่วนชีวิตที่ดีให้กับตัวเองบ้าง
ตอนนี้ที่ทำงานใหม่ก็เดินทางสะดวกขึ้น เงินดีกว่า ไม่เครียดเท่าที่เก่า ถึงจะมีปัญหาหยุมหยิมกวนใจตลอดเวลาก็ตาม มีเวลาให้ครอบครัว และคนไม่ต้องเป็นห่วงสุขภาพอีก
อ่าน comments ในข่าวนี้แล้วได้ความรู้เยอะเลย ขอบคุณแต่ละ comment จริงๆ :)
อยากรู้เลยว่าชาว IT เป็นโรคนี้กันเยอะไหม
มันน่ากลัว ตรงที่เราเป็นส่วนหนึ่งของระบบ
โดยไม่รู้ตัว หรือ เต็มใจ
และความที่ไม่อยากล้มเหลว ก็เข้ามา
มันกระตุ้นให้เราพยายามหนักขึ้นไปอีก
แล้วทุกสิ่งก็จะกลายเป็นความจุกจิก ที่อยากทำให้เนี๊ยบทุกอย่าง
แต่มันกลับสร้างช่องโหว่ และข้อผิดพลาด ที่เราไม่เห็น
ก็มันโดนความหมกมุ่น เพื่อที่จะทำงานหลาย ๆ ส่วนพร้อมกัน บังมิดไปหมด
สุดท้าย ผลงานที่ตั้งใจ ก็ไม่ได้เนี๊ยบเหมือนที่หวัง
ความผิดหวังที่สุดคือ ความตั้งใจที่ทำมาทั้งหมด มันไร้ความหมาย
//สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม
//สู้กันต่อไป