ย้อนกลับเมื่อประมาณช่วงสองปีที่แล้ว ส่วนใหญ่หูฟังแบบ “ไร้สาย” ที่ใช้กันทั่วๆไปจะไม่ได้แยกตัวหูฟังสองข้างออกจากกัน แต่ตอนที่ผมเห็นเจ้า The Dash บนโครงการ Kickstarter The Dash – Wireless Smart In Ear Headphones ครั้งแรกนั้น ก็เกิดคำถามขึ้นมาในหัวว่ามันจะทำได้จริงๆ ตามที่บอกหรือเปล่า เพราะนอกจากส่วนที่เรียกได้ว่าแปลกใหม่คือ ส่วนหูฟัง (In Ear) ทั้งสองข้างจะไม่มีสายมาให้เกะกะแล้ว ยังมีความสามารถในการ “ตรวจจับการเต้นของหัวใจ” เพิ่มเข้ามาอีก ด้วยความอยากรู้และต้องการทดสอบจึงทำการลงชื่อเป็นหนึ่งในผู้ทำการสนับสนุนโครงการและนั่งรอให้ของมาส่งอย่างใจระทึก
หลังจากทำตัวเป็น backer ที่ดีในระบบ สิ่งที่เหลือที่ทำได้ก็เพียงแค่รอให้โครงการผ่านและของเสร็จออกมาเป็นรูปเป็นร่างครับ แต่ก็เหมือนกันโครงการใหญ่ต่างๆ (ส่วนใหญ่) ที่จะประสพปัญหามากมาย เจ้า The Dash เองก็ไม่ต่างจากโครงการเหล่านั้น แต่หลังจากใช้เวลานานเกือบสองปี ผมก็ได้หูฟังที่ว่ามา
The Dash มีการทำงานหลักๆ อยู่สามแบบคือ
การเรียกใช้งานของ The Dash จะใช้ gesture ในการสั่งงานเป็นหลักผ่านหูฟังทั้งสองข้าง โดย
ต้องบอกก่อนว่าตัว The Dash ที่สั่งไปเป็นแบบสีขาว (White Dash) ซึ่งตรงนี้จะเหมือนกับตัวปกติหรือไม่นั้นตอบไม่ได้ เพราะไม่มีตัวปกติเอามาใช้ในการทดสอบเปรียบเทียบนะครับ
หลังจากเปิดเครื่องใช้มาประมาณหนึ่งเดือน ส่วนตัวค่อยข้างประทับใจกับการใช้งานนะครับ เอาเป็นว่าประสิทธิภาพโดยรวมรับได้ แต่ถ้าออกมาก่อนหน้านี้ซักหนึ่งปีจะเป็นอะไรที่ “ว้าว” และ “เจ๋ง” มาก
การสั่งงานด้วย gesture จะเรียก “ดี” ก็ได้ จะเรียกว่า “ไม่ดี” ก็ได้ เพราะนอกจากต้องใช้การเรียนรู้การใช้งานสักพักแล้ว ยังมีความผิดพลาดเยอะเหมือนกัน ผมเองฝึกใช้อยู่เป็นชั่วโมงกว่าจะคล่อง ตอนนี้ก็ยังสั่งได้บ้างไม่ได้บ้างอยู่ดี
ส่วนตัวมีเทคนิดนิดหน่อยคือ ถ้าเวลากดสั่งงานแล้วในยินเสียงเหมือนมีใครกำลังเคาะหู แสดงว่าผมน่าจะใส่แล้วผิดตำแหน่ง ต้องปรับตำแหน่งให้กดแล้วไม่มีเสียงก็จะไม่มีปัญหา (ส่วนตัวอาจจะเพราะส่วนหูของผมเรียกว่ากาง ภาษาชาวบ้านเรียก “หูกาง” นั่นแหละ)
มี gesture อีกอย่างที่จะไม่พูดก็ไม่ได้คือ เวลาจะรับสายเราสามารถผงกหัวหรือส่ายหัวเพื่อจะรับหรือไม่รับสายก็ได้ อันนี้จะเรียกว่าสะดวกหรือประหลาดก็บอกไม่ได้ (แต่ผมก็ใช้บ่อยนะ ถึงจะดูประหลาดๆไปหน่อยก็เถอะ)
ในเรื่องการใช้งานรับสายโทรศัพท์ตรงนี้ ก็ได้เสียงที่คมชัดดี แต่ดูเหมือนฝั่งรับสายจะแจ้งเหมือนกับว่า เสียงได้ที่ยินจะก้องๆนิดหน่อย (อันนี้ไม่ได้ฟังเลยตอบไม่ได้เหมือนกัน แต่ก็น่าจะก้องจริงๆ)
อีกอย่างคือตัว The Dash ยังมีพังก์ชั่น “transparency” คือ อนุญาตให้เราเสียงจากภายนอกผ่านเข้ามาได้ แต่เอาเข้าจริงๆ จะใช้ได้เฉพาะตอนที่เราคุยโทรศัพท์เท่านั้น เพราะเวลาฟังเพลงเสียงเพลงจะกลบเสียงภายนอกหมดทำให้ไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย
อันนี้ไม่ค่อยได้ใช้ครับ แต่เท่าที่ได้ทดสอบลองๆดู (เรียกว่าใช้น้อยมากแล้วกัน) การวัดอัตราการเต้นของหัวใจทำได้ “งั้นๆ” ผิดพลาดเยอะ (ตรงนี้อาจจะเป็นที่ผมเองก็เป็นได้) การวัดการนับก้าวหรือการวิ่งถือว่าใช้ได้ครับ “ผ่าน” แต่ก็ไม่ตรงเท่าไหร่ ส่วนการใช้ตอนว่ายน้ำนี่ไม่ได้ลองเลย (จริงๆไม่มีสาวๆไปว่ายด้วยเลยไม่ไป)
ส่วนตัวผมไม่ค่อยได้ใช้โหมดนี้สักเท่าไหร่ เพราะถ้าจะดูข้อมูลต้องเชื่อมต่อผ่านตัวโปรแกรมของ Bragi ซึ่งไม่ค่อยจะสะดวกเท่าไหร่สำหรับผม แต่ถ้าใครใช้อาจจะชอบก็ได้
ส่วนตัวจะใช้โหมดนี้มากที่สุด แต่ปัญหาคือตัว The Dash เองไม่ได้ออกแบบมาให้ใช้ฟังเพลงตั้งแต่แรก ตัวหูฟังถูกตั้งให้เป็นอุปกรณ์สำหรับใช้ในชีวิตประจำวันคือใช้เป็นรับสายหรือออกกำลังกายเสียมากกว่า ทำให้การใช้งานต่อเนื่องจึงจำกัดอยู่ที่ประมาณสี่ชั่วโมง แต่ถามว่าฟังสี่ชั่วโมงยังไม่พออีกหรือ อืม... ส่วนใหญ่เวลาผมพิมพ์งานนั่งทำอะไรเพลินนี่จะหลุดไปหลักเจ็ดถึงแปดชั่วโมงเลย เพราะงั้นสำหรับตัวผม “ไม่พอครับ“ ^^”
มาพูดถึงคุณภาพของเสียงกันดีกว่า เสียงจัดได้ว่าค่อนข้างดี เสียงกลางเด่น (แน่ละ ใช้พูดคุยเป็นหลักนิ) เบสกลางๆไม่ออกมาเป็นลูกแบบกระแทกขี้หูไหล แต่ก็พอมี เสียงสูงไม่จัด ค่อนข้างเหมาะสำหรับเพลงที่มีเสียงร้อง เน้นเสียงเป็นหลัก พวก Pop แต่ใช้ฟังพวก Rock หนักๆ ก็พอไหว
คงจะบอกได้ยากมากว่าตลาดนี้จะเกิดหรือไม่เกิด แต่ที่แน่ๆอนาคตเราคงจะได้หูฟังแบบนี้ออกมาอีกเยอะมากมายแน่นอน รวมถึงของ Apple เองด้วย (อันนี้มโนเองนะครับ) แต่ถ้าใครรำคาญกับสายที่เกะกะวุ่นวาย หูฟังในลักษณะนี้จะเป็นคำตอบสำหรับคุณได้ แต่ถ้าคุณอยากได้คุณภาพของเพื่อรื่นรมย์กับเสียงเพลงละก็มองหาหูฟังตัวอื่นได้เลยครับ
เสริม
ในตอนที่กำลังนั่งเขียนรีวิวฉบับนี้อยู่ ทาง Bragi ได้ออก firmware ใหม่มาเป็น 2.0 (ตัวที่ผมใช้อยู่เป็น 1.51) ส่วนตัวยังไม่ได้ทำการทดสอบ เพราะหลังจากออกได้ไม่นานก็มีเสียงบ่นมากมาย ทั้งไม่สามารถอัพเดตได้ หรือกระทั่งหูพิการไปข้าง
พังก์ชันที่เพิ่มขึ้นมาก็มี ปรับการได้ยินในการสนทนา, สามารถดึงข้อมูลการออกกำลังจากหูฟังได้แล้ว (ก่อนหน้านี้ต้องต่อกับโทรศัพท์ถึงจะเห็นข้อมูล) และเสียงดังขึ้นได้อีก ตรงนี้ทำให้ผมทราบว่าในยุโรปมีการกำหนดระดับความดังในหูฟังว่าไม่ควรเกิน 85 dbA อ้างอิง
เสริม2
ตอนที่นั่งเขียนทาง Apple ยังไม่ได้ประกาศ AirPods นะครับ