Tags:
Forums: 

โดย Amit Midha, President of Asia Pacific & Japan and Chairman of Global Emerging Markets, Dell

ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เราได้เห็น “การเปลี่ยนโฉมไปสู่ดิจิตอล” หรือ “Digital Transformation” ในฐานะของวลียอดนิยมที่ผู้คนในโลกธุรกิจพูดถึงกันบ่อยครั้ง ทั้งจากปากของซีอีโอในบริษัท ไปจนถึงนักวิเคราะห์ธุรกิจ ที่พยายามวิเคราะห์ถึงความท้าทายและโอกาสที่นำพามากับเทคโนโลยีดิจิตอล เริ่มจากความกังวลเรื่องของการรักษาความปลอดภัยไปจนถึงความเข้าใจถึงผลกระทบจากบิ๊กดาต้าหรือข้อมูลขนาดมหึมา และเรื่องของ IoT หรือการที่อุปกรณ์ทุกสิ่งต่ออินเตอร์เน็ตได้ การเปลี่ยนโฉมสู่ดิจิตอลนอกจากจะนำสิ่งดีๆ มาให้ในหลากหลายแง่มุมแล้ว ยังมีประเด็นอื่นๆ ที่เป็นหัวข้อให้ต้องถกในห้องประชุมกันต่อไป

ปัจจุบัน เราได้เห็นการเปลี่ยนโฉมของดิจิตอลที่ส่งผลถึงรูปแบบการทำธุรกิจและการดำเนินงานขององค์กรในเอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น รวมถึงประเทศไทย แนวโน้มที่ว่าก็ยังคงสร้างแรงสะเทือนอยู่ในปีนี้ เกือบจะถึงจุดที่เรียกว่าเกิดสึนามิทางด้านดิจิตอลเสียด้วยซ้ำ นอกจากเรื่องนี้ การที่ผมได้เดินทางไปพบปะลูกค้าและคู่ค้าในทั่วภูมิภาค ผมสังเกตเห็นว่า ในขณะที่ธุรกิจในภาคพื้นเอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่นมีการเติบโตขึ้นมาก แต่หลายๆ บริษัทที่ออกเดินทางสู่โลกดิจิตอล ส่วนใหญ่ยังคงต้องดิ้นรนอย่างสุดแรงเกิดเพื่อให้ใช้เทคโนโลยีดิจิตอลได้อย่างเต็มศักยภาพ และทำให้ดิจิตอลเป็นส่วนสำคัญของวัฒนธรรมและการดำเนินงานในองค์กร จากการเฝ้าสังเกตุการณ์ดังกล่าว ทำให้เห็นถึงสามประเด็นหลักที่ผู้นำธุรกิจควรมุ่งเน้นในปี 2559 เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดจากเศรษฐกิจดิจิตอล

ตามรอยไปสู่การเปลี่ยนโฉมธุรกิจ
การเปลี่ยนโฉมไปสู่ดิจิตอล นับเป็นความท้าทายสูงสุดของการบริหารการเปลี่ยนแปลง ที่รู้จักกันในภาษาอังกฤษว่า Change Management เนื่องจากก่อให้เกิดผลกระทบไม่ใช่แค่เรื่องสถานภาพในเชิงกลยุทธ์ แต่ยังเป็นเรื่องงานส่วนต่างๆ ที่ต้องทำ รวมถึงกิจกรรม และกระบวนการทำงานในทุกลำดับชั้นขององค์กร และยังไปไกลถึงเครือข่ายซัพพลายเชนที่ต่อขยายออกไปอีก ดังนั้นผู้นำต้องคอยตรวจตราดูความเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง รวมถึงความท้าทายในการที่องค์กรต้องปรับตัวมากขึ้นพร้อมกับนำวิธีปฏิบัติเรื่องการแปลงกระบวนการต่างๆ ไปสู่ดิจิตอลมาใช้ในเวลาที่พอเหมาะพอดี

เนื่องจากองค์กรไม่สามารถคงสถานภาพเดิมได้ตลอดไป ผู้นำจึงควรเข้าใจถึงความจำเป็นในการปรับเปลี่ยนพื้นฐานการดำเนินงานให้สอดคล้องต่อความจำเป็นเร่งด่วนของโมเดลธุรกิจในยุคดิจิตอลแบบใหม่ให้ได้ ทั้งนี้ เพื่อเพิ่มความคล่องตัวให้กับธุรกิจ นอกจากนี้ต้องไม่เพิกเฉยต่อผู้ที่เปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำธุรกิจไปสู่โลกดิจิตอลแบบใหม่ได้สำเร็จ เราจึงเห็นว่าบางองค์กรอยากจับมือกับบรรดาองค์กรที่สร้างความมั่งคั่งได้ภายในเวลารวดเร็ว ในบางรายก็อาจสร้างบริการในลักษณะเดียวกัน ซึ่งบางทีอาจถูกและดีกว่าด้วยซ้ำ ในขณะเดียวกัน ก็ยังมีรายอื่นๆ กำลังคิดค้นพร้อมนำเสนอคุณค่ารูปแบบใหม่ๆ ให้กับลูกค้าด้วยตัวเองอยู่

ต้องมีผู้มีความสามารถที่เหมาะสม
เทคโนโลยีดิจิตอลเริ่มแพร่หลายไปมาก และพนักงานที่มีทักษะก็จะมีข้อได้เปรียบและเป็นที่ต้องการนอกเหนือจากงานในแผนกไอที เรียกว่าไปได้ทุกอุตสาหกรรม โดยเจ้าหน้าที่ฝ่ายหางานจะมองหาบุคคลเหล่านี้มาช่วยงานในส่วนของฝ่ายปฏิบัติการ การตลาด และฝ่ายบริการลูกค้าซึ่งเหล่านี้จะเป็นผู้ที่นอกจากจะใช้คอมพิวเตอร์เดสก์ท็อปเพื่องานทำเอกสาร ส่งอีเมลแล้ว ยังเป็นผู้ที่สามารถใช้เครื่องมือวิเคราะห์ รวมถึงโมบายและโซเชียลได้อย่างแคล่วคล่องซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับองค์กรที่ต้องการเปลี่ยนโฉมการทำงานไปสู่ดิจิตอล โดยทักษะที่เป็นที่ต้องการควรจะรวมถึงความเข้าใจเรื่องของวิธีการนำเสนอข้อมูลด้วยภาพ การเขียนโค้ด ศิลปะของการสร้างอินโฟกราฟฟิกที่ดี วิดีโอ และพรีเซนเทชัน การออกแบบเว็บไซต์ และเชี่ยวชาญเรื่องโซเชียลมีเดียเช่นกัน

ความสามารถพิเศษรูปแบบใหม่ๆ มากมายดังที่กล่าวมานั้น ปกติมักจะโดนมองข้ามเนื่องจากไม่ได้ถูกมองว่าเป็นทักษะการทำงานที่สำคัญและหาได้ยากในโปรแกรมการศึกษาในภาคพื้นเอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น ความจริงข้อนี้ถูกสะท้อนให้เห็นในการประเมินของ Capgemini ว่าจากปริมาณงานด้านไอทีที่เกี่ยวข้องกับโอกาสที่มากับบิ๊กดาต้า จำนวนกว่า 4.4 ล้านตำแหน่งงานที่เกิดขึ้นในปี 2558 นั้น มีเพียงหนึ่งในสามเท่านั้นที่หาคนมาทำตำแหน่งดังกล่าวได้ องค์กรแรงงานระหว่างประเทศได้เขียนไว้ในรายงานเกี่ยวกับปัจจัยบ่งชี้หลักของตลาดแรงงานประจำปี 2015 Key Indicators of the Labour Market report for 2015 ไว้ว่า มีความไม่สอดคล้องกันอยู่ระหว่างบุคลากรที่มีทักษะ กับตำแหน่งงานว่างที่ตรงกับความสามารถและความคาดหวัง องค์กรจะต้องตอบโจทย์ความท้าทายนี้ด้วยการพัฒนาบุคลากรที่มีความสามารถในองค์กรในเวลาที่ต้องก้าวเข้าไปทำโครงการดิจิตอลในปีนี้

รองรับระบบแบบอัตโนมัติได้
อินเตอร์เน็ตในทุกสรรพสิ่ง หรือ IoT (Internet of Things) ได้สร้างความตื่นเต้นให้กับภาครัฐบาล ธุรกิจ Start-ups และธุรกิจที่อยู่ตัวแล้วในภาคพื้นเอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น ตลอดช่วงเวลา 2-3 ปีที่ผ่านมา ทุกภาคส่วนล้วนคาดหวังกับการเติบโตของอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็นตึกอัจฉริยะทั้งหลายที่อยู่ใน Hong Kong Science Park โครงการโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคในประเทศไทย และเซ็นเซอร์ระบบน้ำอัจฉริยะเพื่อการจัดการน้ำของประเทศสิงคโปร์ ทั้งหมดนี้ล้วนแล้วแต่เป็นโครงการที่ได้รับการยกย่องจากบริษัทวิจัย ไอดีซี ในปี 2015 ให้เป็นความริเริ่มด้านสมาร์ทซิตี้ที่โดดเด่น (outstanding smart city initiatives)

ในขณะที่ IoT ยังเป็นคำยอดนิยมในแวดวงธุรกิจมาตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา การพัฒนาความสามารถในการทำงานร่วมกันรวมถึงด้านฮาร์ดแวร์ ก้าวหน้ามาถึงจุดที่การลงทุนที่ลงไปเริ่มจะคืนทุน ทั้งอุปกรณ์ควบคุมอุณหภูมิอัจฉริยะ อุปกรณ์ฟิตเนสประเภทสวมใส่ และนวัตกรรมอื่นที่เป็นการพัฒนาครบวงจรทั่วทั้งระบบนิเวศน์ และเริ่มมีส่วนแบ่งทางการตลาดแบบที่น่าจับตามอง

ผู้ที่เคลื่อนไหวได้เร็วในการพัฒนาซอฟต์แวร์เพื่อรองรับการใช้งานด้าน IoT ก็จะมีข้อได้เปรียบทางการแข่งขันที่โดดเด่น ซอฟต์แวร์ที่วิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมหาศาลที่ได้จากอุปกรณ์ IoT พร้อมทั้งจัดการงานที่เคยต้องตัดสินใจด้วยตัวเองได้โดยอัตโนมัติ จะได้รับความสนใจอย่างมากในไม่ช้า และนี่คือโอกาสสำหรับบริษัทเทคโนโลยี สอดคล้องตามคำกล่าวของกระทรวงสื่อสารและสารสนเทศของประเทศสิงคโปร์ รวมถึงองค์กรเอ็นเตอร์ไพร์ซที่ต้องการค้นคว้าและพัฒนาระบบวิเคราะห์ข้อมูลที่ใกล้กับแหล่งที่มา หรือ Edge Analytics และการวิเคราะห์ข้อมูลแบบสตรีมมิ่ง การสนับสนุนการตัดสินใจ และซอฟต์แวร์ระบบอัตโนมัติอื่นๆ

องค์กรธุรกิจจะเฟื่องฟูในปี 2559 และต่อๆไป หากมีการเตรียมพร้อมสำหรับอนาคต โดยต้องเข้าใจถึงปัจจัยขับเคลื่อนต่างๆ รวมถึงโอกาสและภัยคุกคามที่เกิดจากภาพรวมของโลกดิจิตอลใหม่ที่อาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจ การเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับความสำเร็จนับเป็นสิ่งสำคัญ ต้องประเมินถึงความสำคัญของทรัพยากรด้านบุคลากรได้อย่างเหมาะสม โดยเฉพาะเรื่องประชากรในแถบภาคพื้นเอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น ที่มีทักษะความสามารถมีประสบการณ์การทำงานที่ครอบคลุม รวมถึงประชากรจำนวนมากที่เป็นกลุ่มวัยรุ่นไฟแรงและต้องการก้าวสู่ตลาดหางาน การนำวิธีปฏิบัติที่เหมาะสมและดีที่สุดสำหรับการเปลี่ยนถ่ายสู่ยุคดิจิตอลที่ขยายตัวไปไกลมากขึ้นทั้งในธุรกิจระดับภูมิภาคและระดับโลกจะเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะเท่ากับเป็นการติดตั้งเทคโนโลยีเปิดที่ขยายขอบเขตการทำงานได้ง่าย ให้ความคุ้มค่าเรื่องค่าใช้จ่าย สิ่งนี้นับเป็นสูตรสำเร็จของผมในการนำเสนอสภาพแวดล้อมการทำงานในอุดมคติสำหรับผู้นำที่ต้องการนำกลยุทธ์มาใช้ให้ได้ประโยชน์สูงสุด อีกทั้งยังนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในปี 2559 ซึ่งเป็นปีแห่งลูกค้าที่ให้ความสำคัญกับดิจิตอลมาก่อน หรือ Digital-First Customer นั่นเอง

Get latest news from Blognone