บรรดานักลงทุน Venture Capital (VC) จะพิจารณาตัวชี้วัดหลายอย่างก่อนเลือกลงทุนในสตาร์ทอัพใดๆ ซึ่งที่ผ่านมาตัววัดที่นิยมกันมากก็คือ จำนวนผู้ใช้งาน (users), ยอดดาวน์โหลด, อัตราการเติบโตของรายได้ แต่ปัญหาคือตัวชี้วัดเหล่านี้บ่งบอกว่าธุรกิจเติบโตก็จริง แต่ไม่ได้รับประกันว่าจะมีกำไร ทำให้เหล่า VC ตอนนี้เริ่มให้ความสำคัญว่าสตาร์ทอัพนั้นมีความสามารถกำไรได้หรือไม่ เป็นตัววัดแรก
เรื่องนี้จึงทำให้เหล่าสตาร์ทอัพในอเมริกาโดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจ On-Demand (Uber for X) ต้องกำหนดนิยามคำว่า มีกำไร กันใหม่ เพื่อให้ธุรกิจตนยังอยู่ในความสนใจของ VC ต่อไป
ในงานนำเสนอล่าสุดของ Y Combinator ประโยคทองหนึ่งที่เหล่าสตาร์ทอัพล้วนใช้กันจึงกลายเป็นคำว่า "เรามีกำไรแล้ว" ซึ่งก็เหมือนกับ Uber เองที่ระบุว่าธุรกิจของตนมีกำไรแล้วในอเมริกาและแคนาดา เพียงแต่คำว่ามีกำไรของสตาร์ทอัพเหล่านี้อาจไม่ใช่กำไรแบบที่คนรู้จักกัน
Ellen Huet แห่ง Bloomberg ยกกรณีศึกษาของ SpoonRocket บริการส่งอาหารด่วน ซึ่งได้รับการเพิ่มทุนมากกว่า 13 ล้านดอลลาร์ พวกเขาบอกกับนักลงทุนตลอดว่าสามารถทำกำไรได้ในทุกคำสั่งซื้อ ซึ่งเป็นการคำนวณกำไรต่อหน่วยเท่านั้น (รายได้ ลบค่าขนส่งและต้นทุนอาหาร) แต่ในความจริงธุรกิจมีค่าใช้จ่ายอื่นอีก เช่น ต้นทุนการบริการลูกค้า, พนักงานในสำนักงาน, ค่าเช่าสำนักงาน, ค่าใช้จ่ายการตลาด ฯลฯ ซึ่งด้วยกำไรต่อหน่วยการส่งที่อยู่ราว 0.50-1 ดอลลาร์ จึงไม่เพียงพอเมื่อหักค่าใช้จ่ายอื่นเหล่านี้เข้าไป SpoonRocket เลยปิดกิจการไปเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา
สตาร์ทอัพหลายแห่งจึงต้องหาวิธีคำนวณเพื่อบอกว่ากิจการตนนั้นมีกำไร แต่ด้วยรูปแบบที่แตกต่างไปจากหลักการบัญชีปกติ อาทิ บอกว่าทำกำไรแล้วใน 40% ของพื้นที่ซึ่งทำตลาดอยู่ บ้างก็บอกว่ากระแสเงินจากการดำเนินงานเป็นบวก แต่ไม่พูดถึงค่าใช้จ่ายอื่นเช่น ภาษี, หุ้นสวัสดิการ, ดอกเบี้ยเงินกู้ยืม (ในที่มาใช้คำว่า "เรามีกำไรแล้ว ถ้าไม่รวม X")
Bill Gurley พาร์ตเนอร์ของ VC รายหนึ่งให้ความเห็นว่าแนวโน้มนี้เป็นเรื่องดีต่อวงการสตาร์ทอัพ เพราะทำให้การใช้จ่ายต่างๆ ถูกควบคุมมากขึ้น แต่ขณะเดียวกันก็ส่งผลให้สตาร์ทอัพเข้าสู่ตลาดหุ้นกันน้อยลง เพื่อหลีกเลี่ยงการต้องเปิดเผยตัวเลขต่างๆ ต่อสาธารณะ ขณะที่ Sean Behr ผู้ก่อตั้งสตาร์ทอัพ Zirx บอกว่าคุณจะบอกว่ามีกำไรอย่างไรก็ได้ แต่ถ้าเงินในบัญชีคุณมีน้อยลงมันก็ไม่ใช่แล้ว
Comments
Start up ยุครุ่งเรืองแรกๆเคลม value จากยอดดาวน์โหลด จำนวน user กับเจ้าของเงิน
พอเจ้าของเงินเริ่มตั้งสติได้ ก็จะเริ่มพิจารณาแล้วว่า ไอ้บรรดา start up ที่เอาเงินไป มันเอาเงินไปถลุงแบบโง่ๆ เพื่อให้อยู่รอดไปวันๆ รึเปล่า
เล่นวลี ตีความใหม่ ให้ได้กำไร ไปไถ VC
ประวัติศาสตร์กำลังย้อนกลับมา ฟองสบู่ใกล้แตกแล้วครับ ยุค dot-com ที่ฟองสบู่แตกช่วงปี 2000 ก็เริ่มคำนวนกันแบบนี้ EBITDA ไม่กำไร ก็ถอยขึ้นไป EBIT ยังไม่กำไร ก็ถอยไปจนถึง Earning อย่างเดียวแล้วเอามา forecast ตัวเลขจนได้ มั่วเอาจนได้
มีกำไร*, **, ***, ****