FCC (กสทช. สหรัฐฯ) กำลังจะลงคะแนนเสียงโครงการแจกเงินแก่ประชาชนอเมริกันผู้มีรายได้น้อยเดือนละ 9.25 ดอลลาร์ สำหรับใช้จ่ายค่าบริการอินเทอร์เน็ต

แนวทางนี้ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญสำหรับโครงการ Lifeline ซึ่งจากเดิมนับตั้งแต่ปี 1985 ได้กำหนดเรื่องสิทธิ์ผู้รับเงินช่วยเหลือเดือนละ 9.25 ไว้เฉพาะเป็นค่าบริการโทรศัพท์เท่านั้น โดยในปัจจุบัน FCC หันมาให้ความสำคัญกับอินเทอร์เน็ตควบคู่กันไปด้วย ไม่ว่าจะในรูปแบบของอินเทอร์เน็ตสำหรับอุปกรณ์เคลื่อนที่หรืออินเทอร์เน็ตตามบ้าน แนวทางใหม่นี้จะทำให้ผู้มีรายได้น้อยสามารถนำเงินเดือนละ 9.25 ดอลลาร์นี้ไปบริหารจ่ายได้ทั้งค่าโทรศัพท์และค่าอินเทอร์เน็ต

Tom Wheeler ประธาน FCC กล่าวว่าจากข้อมูลครอบครัวผู้มีรายได้น้อยในสหรัฐอเมริกา มีเพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้นที่มีอินเทอร์เน็ตใช้งาน และ 43% ของกลุ่มผู้ที่ไม่มีอินเทอร์เน็ตใช้งานให้เหตุผลว่าค่าบริการที่แพงเกินจะรับภาระไหวคือปัญหาใหญ่สุด ในขณะที่เกินกว่า 40% ของกลุ่มผู้มีรายได้น้อยที่ยังใช้อินเทอร์เน็ตอยู่ก็เคยถูกระงับบริการ หรือต้องยกเลิกบริการไปชั่วคราวเพราะไม่สามารถจ่ายค่าอินเทอร์เน็ตได้

ด้านผู้ให้บริการที่สนใจเข้าร่วมโครงการ Lifeline ซึ่งจะสามารถเก็บค่าบริการได้เดือนละ 9.25 ดอลลาร์นั้น ต้องทำตามข้อกำหนดของ FCC โดยแบ่งแต่ละประเภท ดังนี้

• ฝั่งผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ต้องไม่จำกัดเวลาการโทร นับตั้งแต่ 1 ธันวาคมเป็นต้นไป
• ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตตามบ้าน ต้องทำความเร็วดาวน์โหลดได้ไม่น้อยกว่า 10Mbps และอัพโหลดได้ 1Mbps โดยรองรับปริมาณข้อมูลอย่างน้อยเดือนละ 150GB
• ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตสำหรับอุปกรณ์เคลื่อนที่ ต้องให้บริการข้อมูลผ่านความเร็วระดับ 3G อย่างน้อย 500MB ต่อเดือน และในอนาคตปี 2018 ต้องรองรับการใช้งานต่อเดือนได้ถึง 2GB

การลงคะแนนเสียงของคณะกรรมการใน FCC จะมีขึ้นในวันที่ 31 มีนาคมนี้ ซึ่งน่าสนใจว่าแผนการนี้จะผ่านหรือไม่ เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่ดีที่รัฐบาลควรช่วยเหลือผู้ยากไร้ แต่โครงการ Lifeline ของ FCC ซึ่งปัจจุบันใช้งบประมาณปีละ 1.5 พันล้านดอลลาร์ จะต้องการงบประมาณเพิ่มขึ้นเป็น 2.25 พันล้านดอลลาร์ต่อปีหากแผนการนี้ได้รับการเห็นชอบ ทั้งยังไม่นับเรื่องประเด็นการปลอมแปลงสวมสิทธิ์ซึ่งเคยเกิดขึ้นจนทำให้รัฐต้องเสียเงินไปโดยเปล่าด้วย

ที่มา - Ars Technica