คนที่ติดตามวงการสตาร์ตอัพในบ้านเรา น่าจะเคยเห็น Storylog เว็บไซต์รวมเรื่องเล่ากันมาบ้าง และเชื่อว่าน่าจะสงสัย (แบบเดียวผม) ว่าในยุคที่ใครๆ ก็เปิดบล็อกของตัวเองได้ และคนหันไปเล่าเรื่องผ่านโซเชียลกันหมด เว็บไซต์แบบนี้จะทำไปเพื่ออะไรกัน?
Storylog เป็นหนึ่งในห้าทีมที่เข้ารอบสุดท้าย dtac Accelerate ปีสอง ผ่านร้อนผ่านหนาวมาพอสมควร ผมมีโอกาสคุยกับคุณปิ๊ปโป้ เปรมวิชช์ สีห์ชาติวงษ์ ผู้ก่อตั้ง Storylog รวมถึงทีมงาน ซึ่งมีคำตอบว่า "ทำไปทำไม" ครับ
คุณปิ๊ปโป้ เล่าว่าตัวเองไม่ได้มีพื้นเพมาทางไอทีเลย จบจากคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ และหลงใหล "การเล่าเรื่อง" (storytelling) ทุกรูปแบบ ทั้งการเขียน การพัฒนาบทละคร-ภาพยนตร์
จากประสบการณ์การเขียนบทของตัวเอง พบว่าควรไป "เสือก" เรื่องชาวบ้านมาเป็นวัตถุดิบในการเขียนบท ที่ผ่านมาพบว่าหลายคนเล่าเรื่องตัวเองลง Facebook แล้วหายสาบสูญไปตามกาลเวลา ค้นก็ยาก เรื่องดีๆ พวกนี้น่าเสียดาย ควรมีสถานที่เก็บเรื่องพวกนี้ไว้ เลยลงมือทำเองเลย
ช่วงแรกของ Storylog เริ่มจากสมัครเข้าโครงการ dtac Accelerate ปีแรก ก็ได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ มาก ถือเป็นการเริ่มต้นสู่โลกสตาร์ตอัพ แต่ก็ไม่ง่าย ชีวิตติดขัดอยู่เกือบปี ทีมงานไม่ลงตัว และตัวเองก็ยังใหม่กับวงการนี้ ไม่มีความรู้มากนัก
เวลาผ่านมาจนได้เจอทีมงานชุดปัจจุบัน มีผู้ร่วมก่อตั้งทั้งหมด 5 คน หลายคนเจอกันใน co-working space (ในที่นี้คือ Hubba) ถือเป็นสตาร์ตอัพไทยไม่กี่รายที่เติบโตมาจากการอยู่ใน co-working space ตั้งแต่ต้น
คุณปิ๊ปโป้เล่าว่าการที่คนไม่รู้จักกันเลยมาเปิดบริษัทด้วยกัน ต้องคลุกคลีกันด้วยกันสักพักใหญ่ๆ ถึงจะคุ้นเคยกัน ทำงานร่วมกันได้ การมาใช้ชีวิตร่วมกันใน co-working space ถือเป็นโอกาสอันดีของการเรียนรู้เพื่อนร่วมทีม
คำถามที่ทีมงาน Storylog เจออยู่เสมอคือ ทำไปทำไม เพราะโลกนี้มีบล็อก, Facebook, Pantip อยู่แล้ว แต่ทีมงานยืนยันว่าเห็นช่องว่างในตลาด
ถ้าให้นิยามตัวเอง Storylog บอกว่าตัวเองเป็น "social writing platform" หรือแพลตฟอร์มการเล่าเรื่องผ่านตัวอักษร ที่แบ่งปันกันได้ เรื่องที่เล่าเน้นประสบการณ์ เน้นความคิดของคน มากกว่าการเป็นเรื่องแต่ง
ตัวแพลตฟอร์มเน้นหนักไปที่การอ่าน/เขียนเท่านั้น มีตัว editor ให้แบบจำกัดความสามารถแค่ใส่ตัวหนาหรือใส่เส้นแบ่ง แต่ไม่อนุญาตให้ใส่ลิงก์ ไม่มีการแปะวิดีโอ โฟกัสไปที่ long-form content ที่เป็นข้อความเท่านั้น
Storylog ยังบังคับให้ล็อกอินด้วย Facebook เนื่องจากต้องการความ authentic คือเป็นตัวตนจริงๆ ของผู้เขียน เปิดหน้ามาเขียนให้รู้ว่าเป็นใคร แต่ก็ไม่จำกัดว่าต้องเป็นนักเขียน เป็นคนดัง เป็นบล็อกเกอร์เท่านั้น เพราะแพลตฟอร์มต้องการให้คนปกติทั่วไปที่มีเรื่องเล่ามาแชร์กัน และจากสถิติที่ผ่านมา คนทั่วไปนี่แหละที่มียอดการแชร์สูงกว่าคนดังๆ ด้วยซ้ำ
ผมถามว่า Storylog มอง Medium อย่างไร คำตอบที่ได้คือ "Medium เป็นครู" ทางทีมศึกษารูปแบบและแนวทางของ Medium อย่างละเอียด และนำมาปรับใช้กับบริบทของเมืองไทย
Storylog เดินตามแนวคิด Lean Startup ของ Eric Ries ที่เน้นสร้างผลิตภัณฑ์เวอร์ชันแรกให้น้อยที่สุด แต่แกนหลักครบถ้วน (minimum viable product) ดังนั้น Storylog เวอร์ชันแรกทำอะไรแทบไม่ได้เลย ตัวช่วย editor ก็ไม่มี ใส่รูปก็ไม่ได้ คอมเมนต์ก็ใช้ได้เฉพาะ Facebook Comment เท่านั้น แต่พอเปิดตัวแล้วกลับมีคนมาใช้งาน
ทางทีมงานก็สงสัยว่าทำไมถึงมาใช้งาน จึงเข้าไปคุยกับผู้ใช้ และเรียนรู้ไปเรื่อยๆ ค่อยๆ เก็บข้อมูลและความคิดเห็นมาพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ดีขึ้น แล้วมาเปิดตัวเวอร์ชันจริงในเดือนพฤศจิกายน 2014 โดยเพิ่มฟีเจอร์มาอีกเล็กน้อย เช่น ใส่รูปได้ (แต่ใส่ได้รูปเดียว) มีระบบ follow บัญชีคนอื่น มีระบบคอมเมนต์และโหวต ถือเป็น Twitter ที่เขียนได้ยาวขึ้น แต่ยังคงแนวคิดหลักเอาไว้ว่าต้องใช้ง่ายที่สุด คนที่อยากเล่าเรื่องต้องเข้ามาใช้งานได้เลย เขียนเสร็จแล้วแพร่กระจายเรื่องของตัวเองได้
ทางทีมเล่าว่าการยึดหลัก Lean Startup ต้องใช้ "ความกล้า" อย่างมากในการ "ตัดฟีเจอร์" ออกเพื่อให้มีฟีเจอร์ที่จำเป็นน้อยที่สุด แล้วค่อยๆ เติมฟีเจอร์กลับมาในภายหลังเมื่อลองใช้งานกับผู้ใช้แล้วคิดว่าเวิร์ค
Storylog เปิดตัวเวอร์ชันจริงมาได้ปีกว่า ตอนนี้มีเรื่องในระบบประมาณ 25,000 เรื่อง มีเรื่องใหม่วันละ 100 เรื่อง มีคนเขียนจริงจัง 6,000 คน และผู้ใช้งานที่เข้ามาลงทะเบียน 200,000 คน ส่วนยอดดาวน์โหลดแอพก็อยู่ที่ประมาณ 30,000 ครั้ง
ตอนนี้ Storylog เริ่มมีนักเขียนดังๆ มาจดบันทึก เขียนเรื่องเล่าในระบบบ้างแล้ว เช่น คุณโตมร ศุขปรีชา ทีมงานมี 9 คนแล้ว และจัดกิจกรรมในหมู่สมาชิกอยู่บ่อยครั้ง
ทีม Storylog บอกว่าที่ผ่านมายังไม่ได้คิดเรื่องโมเดลธุรกิจมากนัก เน้นที่การสร้างแพลตฟอร์มและสร้างผู้ใช้ในระบบก่อน แต่ปี 2016 นี้ก็จะเริ่มมองหาโอกาสทางธุรกิจแล้ว ซึ่งโมเดลที่เป็นไปได้ก็มีหลายทาง เช่น การรวมเล่มทำอีบุ๊ก หรือโมเดลการจ่ายเงินเพื่ออ่านเรื่อง (แต่ทีมงานยืนยันว่าจะไม่ใช้โมเดลโฆษณาแน่ๆ) ในปีนี้ขอให้จับตาดูว่า Storylog จะเริ่มเดินหน้าเพื่อสนับสนุนให้นักเขียนมีรายได้ผ่านช่องทางดิจิทัลมากขึ้น
ในภาพรวมแล้ว Storylog ถือเป็นสตาร์ตอัพไทยที่น่าสนใจอีกราย และแตกต่างจากสตาร์ตอัพไทยรายอื่นๆ ที่มักเน้นคอมเมิร์ซหรือการจับคู่ธุรกิจระหว่างผู้ใช้บริการ-ผู้ให้บริการ แต่กรณีของ Storylog เป็นผลิตภัณฑ์ดิจิทัลล้วนๆ ที่ดูเหมือนว่าเป็นตลาดเฉพาะ (นักเขียน) แต่เอาเข้าจริง ตลาดอาจมีศักยภาพมากกว่านั้นเยอะ (ทุกคนมีเรื่องเล่า) ต้องรอดูกันต่อไปว่า Storylog จะเดินหน้าต่อไปอย่างไรครับ
Comments
เป็นกำลังใจให้ครับ รุ่นพี่คณะ เฮ่
insight ของผมตอนนี้ซึ่งไม่แน่ใจว่าคนอื่นเป็นหรือเปล่า คือพักหลังๆ ตั้งแต่มี Facebook, Twitter เกิดขึ้นมา และเป็นเครื่องมือในการทำงาน ผมว่าสมาธิผมสั้นลง จับจด การอ่านหรือเขียนอะไรยาวๆ กลายเป็นของยากเสียแล้ว ถ้า Storylog จะพัฒนาตัวให้ตอบโจทย์ บ่มเพาะคนให้มีสมาธิในการอ่าน-เสพเรื่องราวมากขึ้น จะดีเลยครับ เชื่อว่ากำลังทำอยู่แหละ :-)
+1 ครับ รู้สึกว่าช่วงนี้เห็นอะไรยาวๆ ก็ไม่ค่อยอยากอ่านเหมือนกัน ไม่ชอบนิสัยตัวเองแบบนี้เหมือนกัน พยายามปรับกลับอยู่
ผมเป็นครับ กำลังหาวิธีแก้อยู่ คืออ่านอะไรจะรูดเร็วๆ เน้นดู อะไรยาวๆ ไม่อ่าน ดูหนังยังจบยากเลยครับ เพราะจะชอบเหลือบมามอง facebook, twitter ตลอด สมาธิสั้นมากๆ เซงตัวเองจริงๆ
ผมเชียร์ Storylog อยู่เหมือนกันครับ ...
ความรู้สึกในฐานะคนชอบนิตยสารคือมันยังไม่สวย
ไม่ชอบฟอนต์ตัวนี้ ก็เข้าใจว่ามันเป็นฟอนต์ที่ใกล้กับหนังสือนิตยสารแล้ว แต่มันไม่สวย รู้สึกมันแสดงตัวอักษรไม่เท่ากัน ไปอยู่บนจอ retina ของ iPad มันไม่ได้คมแบบคมจริงๆ แบบฟอนต์ JS Jindara ของ MEB
แล้วก็ไม่มีเครื่องมือสำหรับวรรคตอนสวยๆ ที่เป็นหัวใจการของจัดอักษรเลย คือไม่มี Heading มีแต่ทำตัวหนา ไม่มี bullet เนื้อหาของ storylog เลยมีแต่ตัวอักษรติดกันไปหมดเลย อย่างดีก็มีแค่ blockquote เอาไว้พักสายตาเท่านั้นเอง ซึ่งเมื่อเทียบกับ medium ที่ไม่มีฟอนต์ไทย แต่บทความไทยในนั้นน่าอ่านกว่า เพราะจัดหน้าได้สวยกว่า รูปใหญ่เต็มตา ใส่ได้หลายจุดด้วย
+1
ดูเหมือนว่าจะใส่ภาพในบทความไม่ได้ด้วย ได้แค่เฮดเดอร์
เรียนรู => เรียนรู้
วิดิโอ => วิดีโอ
เปิตดัว => เปิดตัว
อย่างไครับ => อย่างไรครับ
มีเพื่อนเขียนอยู่ในนี้ แต่เพื่อนก็บอกว่าอนาคตน่ากลัว เพราะ Salmon booksเปิด Minimore makerมาชน แล้วฝั่งนั้นใหญ่กว่าพร้อมกว่ามากในเชิงธุรกิจ เหมือนจะได้นักเขียนดังๆอีกคนไป(เพื่อนบอกไว้แต่จำชื่อไม่ได้)
แต่เพื่อนคนนี้ก็ยังจะอยู่ storylogนะ ยังเชียร์อยู่
"With the first link, the chain is forged. The first speech censured, the first thought forbidden, the first freedom denied, chains us all irrevocably."
ได้เรียนรู?
ที่เคยอ่านมา ดีที่สุดในชีวิตที่ผมการันตีให้มีแค่ web เดียว
คือ หลุดโลก รุ่นที่ 2 ยุคของคนที่ชื่อว่า "พระเจ้า"
คุณไม่ต้องสนตัวตน ไม่ต้องสนว่าเค้าเป็นใคร ? ทำอาชีพด้านทนาย
มีบ้านอยู่ลาดพร้าวซอย 101 จริงหรือไม่ ?
เราสนกันแค่วิธีการใช้ภาษาที่เป็นเอกลักษณ์ วิธีการเล่าเรื่อง วิธีการหักมุม บรรยากาศในเรื่อง
ตัว web ก็ limit แค่ 10 หน้า หน้าละ 25 link เกินกว่านั้น ระบบจะลบทิ้งไป
ไม่มีการเก็บรักษาเอาไว้ เหมือนก้นบุหรี่ที่สูบหมดแล้ว ใช้นิ้วชี้ดีดทิ้งลงบนพื้นถนน
แต่ขี้เกียจเอาเท้า ตามไปขยี้ทิ้ง นั่นแหละ
นั่นทำให้ มันมีเสน่ที่หาไม่ได้อีก ใน web site อื่นๆ
ไม่ แม้แต่ตัวหลุดโลกเองในยุคหลัง ๆ
โอกาศมีแค่ครั้งเดียว หมดแล้วหมดเลย
เว็บที่ท่านหมายถึง คือเว้บอะไรครับ? ขอลายแทง ขอบคุณครับ
หลุดโลกครับ
ปิดไปตั้งแต่ ประมาณปี 49
อ่านจบคิดว่าน่าสนใจดี เตรียมตัวพุ่งไปสมัคร พอเจอ login ด้วย fb เข้าไป เบรกเลยครับ - -"
เฮ้ย เว็บอะไรเนี้ย มันแต่ต่างจากบล็อค ดูๆ บทความ เรื่องราว น่าสนใจทั้งนั้น เฮ้ย อยากเขียนบ้าง
Login FB เอ่อ...ช่างเถอะ เก็บไว้ในใจก็พอ
เคยกินก๋วยเตี๋ยวอร่อยๆไปได้สองสามคำ แล้วดันเจอขนหยิกๆงอๆ "แค่เส้นเดียว" ลอยอยู่ จนต้องเลิกกินทั้งชามป่ะครับ?
หรือจะซื้อเสื้อผ้า แต่เพราะไซส์ที่ตัวเองต้องการดันไม่มี หรือสีที่เล็งเอาไว้ดันหมด ก็เลยไม่ซื้อซะเลย เคยป่ะครับ?
ถึงต่อให้คุณไม่เคย เป็นประเภท "อะไรก็ได้ ง่ายๆ" เห็นอะไรเหลือๆก็เอาหมด ก็อย่าคิดว่าคนอื่นเขาจะต้องเป็นเหมือนคุณสิครับ :))
?
เออ... ผมไม่เห็นประโยคที่เขาเอาตัวเองไปอ้างอิงครับใคร เลยนะ
พักผ่อนเยอะๆ นะครับ
อ้าว ทำไมละครับ
คิดว่าหลายๆคนใช้ตัวจริงเล่นเฟส แต่อยากใช้นามปากกาเขียนหนังสือน่ะครับ
ไม่ได้เล่น Facebook... ตัวเว็บอะดี แตกต่าง แต่ดูเหมือนจะมีของแทนได้ละ เห็นความคิดเห็นข้างบนๆ
เห็นด้วยเหมือนกัน แต่ผมสมัครแล้วเปลี่ยนได้ภายหลังทั้งหมดครับ ทั้งชื่อ นามปากกา รูปภาพ ทุกอย่าง
ขอบคุณครับ
จะมั่นใจได้อย่างไรว่าไม่มีข้อมูลในส่วนของ fb ติดไป แม้จะ edit ออกแล้วครับ
ผมคนนึงครับที่ไม่เอา login ด้วย facebook ควรจะให้เลือกเป็น option มากกว่า
ผมก็เป็นหนึ่งในนั้น
ผมก็เหมือนกันครับ
พอเจอ FB Login เท่านั้น ล้มเลิกความอยากใช้เลย
Feedback ไปทีมงานด้วยคนครับ
Login ด้วย fb นี่ทำให้ผมชงักเช่นครับ น่าจะให้ใช้email ได้ด้วย
เห็นว่าฟังความเห็นผู้ใช้งาน ก็ฟังความเห็นคนที่ทำไมไม่เข้าไปลองใช้บ้างนะครับ
มันต่างกับ medium.com ยังไงหรอเหมือนฝาแฝดเลย
ก็ค่อนข้างคล้ายกันจริงๆครับเท่าที่ลองดู แล้วอย่าง medium.com มีโมเดลธุรกิจยังไงพอทราบไหมครับเผอิญผมก็มองไม่เห็นช่องทางอื่นนอกจากติดแบนเนอร์จริงๆ ถ้าสมัยก่อนที่ผมเคยทำดูแล้วเหมือนทำ wpmu ให้คนมาเปิดบล็อคกัน
+10 ไม่เห็นต่างอะไรชัดเจน นึกถึงสมัยนึงที่มี twitter clone เต็มไปหมด ของไทยก็มี
WE ARE THE 99%
ทำไมอ่านแล้วผมนึกถึง diaryhub.com สมัยก่อน
ผมเองก็ชอบการอ่าน diary ของคนอื่นนะ ซึ่งสิ่งที่เขียนใน diary มันคือ story ในชีวิตจริงของแต่ละคนอยู่แล้ว สำหรับ Storylog อาจจะมองสิ่งที่เขียนไปมากกว่านั้น คือเป็นเรื่องเล่าบทความต่าง ๆ ที่อาจจะไม่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันก็ได้ ซึ่งผมก็มองว่าเป็นเรื่องที่ดีที่ขยายขอบเขตออกไป
กระนั้นผมเองก็ยังคิดว่า model ธุรกิจน่าจะมีปัญหา และคู่แข่งที่เรียกว่า blog สามารถทำได้ทุกอย่างเหมือนกันหรือมากกว่า ผมเชื่อว่าสุดท้ายต้องใส่รูปได้มากกว่า 1 รูปและใส่ video ได้ด้วย
ถึงอย่างไรก็เป็นกำลังใจให้ครับ
That is the way things are.
ผมว่าการมีข้อจำกัดแบบนี้แหละ ทำให้ content ออกมีมีคุณภาพมากขึ้น ลองนึกถึง twitter ที่ใส่ได้แค่ 140 ตัวอักษรสิ กว่าจะพิมออกไปสัก status ต้องคิดแล้วคิดอีกว่าเนื้อหามันโอเคมั้ย มันเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งเลยนะ
ผมก็เขียน diaryhub -> diaryis มาก่อน ยอมรับว่าตลาดนี้เกิดยากแน่นอน เพราะการเข้ามาของ FB, Twitter
ติดตามผลงานใน storylog ของบางท่าน ชอบครับชอบ อ่านเพลินดี
My Blog
เคยไป meet up กับทีม Storylog มารอบหนึ่ง (มีในภาพตอนถ่ายรวมด้วยนะครับถ้าหากสังเกตดี ๆ)
ตอนไป meeting รอบนั้น ได้ประสบการณ์ใหม่ ๆ มาเพียบเลย แถมได้พูดคุยกันและก็ suggest อะไรไปพอสมควรเหมือนกัน ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ rich editor ที่ผมอยากเห็นมันใน Storylog แล้วพอมาก็รู้สึกดีมาก
เป็นกำลังใจให้ครับ ในฐานะคนที่เขียน Storylog อยู่ในนั้นมาประมาณ 10 entries ได้
Coder | Designer | Thinker | Blogger
ขอตัวไปเปิดแอคลับแป๊บนึง เดี๋ยวไปสมัครครับ :-)
Storylog ยังบังคับให้ล็อกอินด้วย Facebook เนื่องจากต้องการความ authentic คือเป็นตัวตนจริงๆ ของผู้เขียน เปิดหน้ามาเขียนให้รู้ว่าเป็นใคร
เราใช้การล็อคอินผ่าน Facebook เพราะเราให้ความสำคัญกับตัวตนของนักเขียน อย่างไรก็ตามคุณสามารถแก้ไขเปลี่ยนชื่อและรูปภาพได้ภายหลังจากการสมัครทันที
คำถาม
วิธีคิดแบบนี้ ยังมีความเหลี่ยม และ ยังอำพรางอะไรบางอย่าง ซ่อนอยุ่ หลายคนไม่ไช้เวบนี้ เพราะรุ้ทันเจ้าของเวบเหมือนกับที่เรารุ้ นั่นเอง แต่บางทีมันก้ดีสำหรับ บางคน ไม่ดีสำหรับบางคน นายม้าค สากกะ...ไม่เคยมาสนใจใครมากนัก ใครจะทำชั่วอะไรในเฟสเขา เขาก็เฉย แม้แต่ เทพโซโลมาขายยาในเฟส เขาก็เฉย เพระเขาไม่เคยสนใจ เหตนี้ หลายจึงไปสมัครเฟสมากกว่า
ส่วนเวบทั่วไป ยังเข้าถึง ความส่วนตัว อะไรบางอย่าง ของเราได้ ในรูปแบบใด รูปแบบนึง
ความไม่ค่อยสะดวกใจ ของบางคนที่จะไห้เวบเหล่านี้รู้เฟสของตัวเอง ยังมีอยู่ ทีบางคนใช้ติดต่อกับญาติที่รุ้จักเท่านั้น
บางคนกินพริกสดกับส้มตำ บางคนกินไม่ได้ ประมานนั้น ก็แล้วแต่ความสะดวกของแต่ละคน จะดีกว่า