วันนี้ AIS ร่วมกับตลาดหลักทรัพย์ MAI จัดงานเสวนาชื่อ "เตรียมพร้อมสู่โลกธุรกิจ สานฝันสู่ตลาดทุน" มีหัวข้อหลักคือส่งเสริมให้สตาร์ตอัพเติบโตผ่านความร่วมมือของหน่วยงานต่างๆ และมุ่งเป้าให้เติบใหญ่จนสามารถเข้ามาขายหุ้น IPO ในตลาดหลักทรัพย์ MAI ได้
ผมมีโอกาสเข้าร่วมงานด้วย และคิดว่าหัวข้อการเสวนามีประโยชน์ ควรค่าแก่การเผยแพร่ต่อครับ
หัวข้อแรกที่คุยกัน เป็นการนำคนจากภาคส่วนต่างๆ ใน ecosystem มาแลกเปลี่ยนประเด็นกัน โดยผู้ร่วมเสวนา (จากซ้ายไปขวาในภาพ) มีดังนี้
ตลาดทุนไทยถือว่าแข็งแกร่งเมื่อเทียบกันในภูมิภาค แต่ทุกวันนี้บริษัทในตลาดหลักทรัพย์ยังมีแค่ 600 กว่าบริษัท ยังมีโอกาสอีกมากสำหรับบริษัทเอกชนที่อยู่นอกตลาด
ส่วนของบริษัทสตาร์ตอัพสายเทคโนโลยี ทางตลาดหลักทรัพย์มองให้เป็นหน้าที่ของ MAI ที่เป็นตลาดสำหรับคนรุ่นใหม่ บริษัทหน้าใหม่ ซึ่ง MAI มีแผนจะเข้าไปช่วยเหลือสตาร์ตอัพดังนี้
คุณประพันธ์บอกว่าสุดท้ายแล้วคงไม่ใช่ทุกคนที่จะได้เข้าตลาดหลักทรัพย์ แต่ขอให้ตั้งฝันไกลๆ ใหญ่ๆ กันไว้ก่อน ไปถึงหรือไม่ก็อีกเรื่องนึง ตอนนี้ MAI ยังมีบริษัทสายเทคโนโลยีเพียงแค่ 8 บริษัท ในอดีตเคยมีบริษัทด้านซอฟต์แวร์ 3 บริษัท ตอนนี้ไม่เหลือแล้วแต่หวังว่าบริษัทรุ่นใหม่จะเติบโตจนเข้า MAI ได้
ปัจจุบันเกณฑ์การขายหุ้นใน MAI ไม่ยากมากเมื่อเทียบกับ SET โดยมีเงื่อนไขว่าต้องมีทุนจดทะเบียน 20 ล้านบาท, ดำเนินธุรกิจมาแล้ว 2 ปี และมีกำไรต่อเนื่อง แต่ไม่สนใจว่าตัวเลขกำไรเท่าไร ขอให้มีกำไรก็พอ ซึ่งจะต่างจากการเข้า SET ที่เงื่อนไขยากกว่านี้ อย่างไรก็ตาม คุณประพันธ์บอกว่าในอนาคตอาจมีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขให้เข้มงวดขึ้นได้เช่นกัน
ในอนาคตอันใกล้ MAI จะเปิดหลักสูตร IPO Academy ช่วยบริษัทที่อยาก IPO เข้าตลาดในการเตรียมตัวเองก่อนเข้าขายหุ้น เพื่อให้หุ้นโดยรวมมีคุณภาพมากขึ้น ถ้ามีบริษัทสายไอทีที่สนใจก็สามารถติดต่อเพื่อเข้าเรียนในหลักสูตรได้
ปัจจุบัน ความรู้เรื่องการเงินกับสตาร์ตอัพ หรือที่เรียกว่า startup financing ยังมีคนเข้าใจน้อย ช่วงหลังเริ่มเห็นสตาร์ตอัพแลกเปลี่ยนความรู้กันเองมากขึ้น แต่ก็อยากให้เข้ามาคุยกับนักลงทุนให้เยอะขึ้นด้วย
ดร.ธีรธร อธิบายเรื่องนักลงทุน angel investor ว่าเป็น "นักลงทุนคนแรกที่ไม่ใช่ญาติ" เข้ามาช่วยสนับสนุนเงินทุนตอนที่สตาร์ตอัพยังไม่มีอะไรสักอย่างเลย ผลิตภัณฑ์ไม่มี ลูกค้าไม่มี รายได้ไม่มี ถือเป็นความเสี่ยงมาก ถือเป็นการมอบ "ปีก" ให้สตาร์ตอัพเติบโตและบินขึ้นสู่ท้องฟ้า
นักลงทุนกลุ่ม angel มักเป็นผู้ประกอบการที่เคยประสบความสำเร็จมาก่อนแล้ว และอยากส่งต่อ "โอกาส" ให้กับคนรุ่นหลัง เพื่อให้มีโอกาสอยู่รอดและเติบโตทางธุรกิจมากกว่าในยุคของตน ดังนั้นจะลงมาช่วยสนับสนุนอย่างจริงจัง ทั้งเรื่องเงินและคำปรึกษา ซึ่งจะต่างไปจากนักลงทุนแบบ venture capital หรือ private equity ที่สนใจเรื่องการเงินมากกว่า
สำหรับคำถามว่าคัดเลือกสตาร์ตอัพที่จะลงทุนอย่างไร ดร.ธีรธร บอกว่าตอนตัดสินใจลงเงินยังไม่มีอะไรสักอย่าง ก็เหลืออย่างเดียวคือ "ดูโหงวเฮ้ง" ดูภาพรวมว่าสตาร์ตอัพรายนี้จะอยู่ร่วมกับเราได้ดีแค่ไหน เพราะเส้นทางนี้ต้องอยู่ด้วยกันนานมาก ต้องเลือกคนที่ทำงานด้วยกันได้ อยู่แล้วไปได้ดีทั้งสองฝ่าย
ดร.ธีรธร บอกว่าสตาร์ตอัพมักให้ความสนใจกับเนื้อหาในการนำเสนอ (pitching) ว่าสิ่งชี้เป็นชี้ตายอยู่ในการนำเสนอ แต่ในมุมของนักลงทุนจะ read between the line มองให้ลงลึกกว่านั้น ดูภาพรวมว่า คนนี้สามารถทำงานร่วมกับเราได้หรือไม่ ทัศนคติเป็นอย่างไร
ดร.ธีรธร ยังบอกว่าสตาร์ตอัพจำนวนหนึ่งมองแค่นำเสนอให้ได้เงินลงทุนแล้วก็จบกันไป ไปเลี้ยงฉลอง กินอาหารหรู ซื้อของแพงๆ แต่ในสายตาของนักลงทุน การให้เงินคือ Day 1 ที่จะต้องสร้างสัมพันธ์ระยะยาวระหว่างกัน
สิ่งที่พบได้บ่อยในหมู่ผู้ประกอบการคือมักมองโลกในแง่ดีเกินไป (over optimistic) มองว่าธุรกิจของเราจะรุ่ง ไปรอด มีโอกาสดีๆ อยู่เบื้องหน้า ซึ่งนักลงทุนจะเข้ามาทำหน้าที่สร้างดุลยภาพในมุมกลับ ว่าสิ่งที่ทำไปนั้นถูกต้องเหมาะสมแล้วจริงหรือ ซึ่งสตาร์ตอัพอาจมองว่าเขี้ยว เรื่องมาก แต่จริงๆ แล้วนักลงทุนอยากให้บริษัทเติบโตและอยู่ได้
ดร.ธีรธร บอกเคล็ดลับของสตาร์ตอัพที่นักลงทุนเลือกลงทุนด้วยว่ามีด้วยกัน 2 อย่าง
ดร.ธีรธร บอกว่าถ้ามีคุณสมบัติทั้งสองข้อ อาจแทบไม่ต้องออกไป pitching เลยด้วยซ้ำ เพราะนักลงทุนจะเป็นฝ่ายเข้ามาหาเอง
เหตุผลที่ AIS เข้ามาทำโครงการสตาร์ตอัพเป็นเพราะตลาดโทรคมนาคมเปลี่ยนไปมาก โอเปอเรเตอร์ทั่วโลกประสบปัญหาเดียวกันคือบริการหรือแอพต่างๆ ย้ายขึ้นไปอยู่บนอินเทอร์เน็ต โอเปอเรเตอร์หาเงินได้เฉพาะค่าแอร์ไทม์เท่านั้น ดังนั้นโอเปอเรเตอร์ต้องปรับตัว เข้ามาทำธุรกิจด้านบริการและข้อมูลมากขึ้น
โลกของอินเทอร์เน็ตทำให้เกิดธุรกิจหน้าใหม่มากมาย แต่ AIS ในฐานะองค์กรธุรกิจขนาดใหญ่มองว่าจุดอ่อนของธุรกิจหน้าใหม่เหล่านี้คือไอเดียเยอะ แต่ขาดประสบการณ์ ซึ่ง AIS ตั้งใจเข้ามาช่วยเหลือ และสนับสนุนให้เติบโตไปด้วยกัน win-win ด้วยกัน
หลังจากทำโครงการ AIS The Startup มาหลายปี ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นคือสตาร์ตอัพไทยมีจำนวนมากขึ้น เปลี่ยนจากสมัยแรกๆ ที่มีแต่ฝรั่งเท่านั้น ชุมชนสตาร์ตอัพในบ้านเราเข้มแข็งมากในแง่การช่วยเหลือกัน แต่ถึงแม้ว่า ecosystem แข็งแรงขึ้นมากแล้ว AIS ยังจัดงานประกวดสตาร์ตอัพต่อไปเช่นเดิม เพราะต้องการสร้างเวทีให้คนรู้จัก ช่วยปลุกตลาดไปเรื่อยๆ ต่อเนื่องทุกปี
แต่คุณไพโรจน์บอกว่าไม่อยากให้สตาร์ตอัพมองโครงการ AIS The Startup แค่เงินรางวัลหรือชื่อเสียง เพราะ AIS มีเครื่องมือทางธุรกิจช่วยสนับสนุนตัวธุรกิจจริงๆ ของสตาร์ตอัพมากมาย เช่น เครือข่ายโอเปอเรเตอร์ในสังกัด SingTel สามารถช่วยบุกตลาดต่างประเทศได้ง่ายขึ้นกว่าการไปบุกตลาดด้วยตัวเองมาก
คุณไพโรจน์ยังเตือนว่า สุดท้ายแล้ว สตาร์ตอัพก็คือ SME นั่นแหละ เรามาทำ "ธุรกิจ" ดังนั้นก็ต้องใส่ใจในตัวธุรกิจของตัวเอง ต้องโฟกัสกับธุรกิจ อย่าหลงประเด็นไปสนใจเรื่องอื่นๆ เช่น การประกวดหรือการหาเงินมากนัก การแข่งชนะได้รางวัลเป็นเรื่องดี แต่อย่าลืมว่าเรากำลังทำอะไรอยู่
คุณไพโรจน์ให้มุมมองในฐานะพาร์ทเนอร์ธุรกิจว่า สตาร์ตอัพต้องแสดงให้พาร์ทเนอร์เห็นว่ากำลังทำอะไรอยู่ ไม่มีใครรู้หรอกว่าแนวทางที่ทำอยู่มันถูกต้องหรือไม่ แต่อย่างน้อยต้องแสดงให้เห็นว่ากำลังทำงาน กำลังไปในทิศทางที่น่าจะใช่ ไม่ใช่ได้เงินแล้วหายเงียบไปเลย แบบนี้คนให้เงินก็หวั่นใจว่าจะไปรอดหรือเปล่า
หลังจากทำสตาร์ตอัพมาได้ระยะหนึ่ง คำแนะนำที่ให้กับสตาร์ตอัพรุ่นหลังได้คือ ให้ย้อนถามตัวเองว่าเรามาทำสตาร์ตอัพไปทำไม บางคนอาจมีเป้าหมายอยากได้รางวัล อยากได้เงิน อยากมีชื่อเสียง แล้วจบกันไป
คุณธีระชาติบอกว่าถ้าเปรียบกิจการเป็นต้นไม้ เวทีประกวดเหล่านี้เป็นแค่ปุ๋ย ช่วยให้เราเติบโตได้เร็ว แต่ถ้ามีแค่ปุ๋ยอย่างเดียวก็ไม่มีทางโตได้ เราต้องเรียนรู้ที่จะเติบโตเอง สังเคราะห์แสงได้เองให้ได้ ในฐานะผู้ประกอบการต้องโฟกัสว่าเราต้องทำอะไรบ้าง ทุกวันนี้โอกาสมีเยอะ แต่ตัวเราเองต้องสร้างศักยภาพของตัวเองให้คนอื่นเห็นก่อน
กรณีของ StockRadars โชคดีที่กลุ่มเป้าหมายชัดเจนว่าเป็นคนเล่นหุ้น ดังนั้นบริษัทจึงมุ่งไปในทิศทางนี้เต็มตัว เช่น จับมือกับ Stock2morrow ที่เป็นสื่อสำหรับคนเล่นหุ้น หรือจับมือกับ AIS ที่นักลงทุนใช้งานกันเยอะ (จากสถิติที่ StockRadars เจอมา) เมื่อค้นเจอพาร์ทเนอร์ที่เหมาะสมแล้วก็เดินหน้าได้เต็มตัว
Comments
อยากรู้จักธุรกิจของ StockRadars จังเลยครับ ว่าทำอะไรบ้าง ประวัติเริ่มต้นยังไงอะไรแบบนี้
ทำแค่ app อย่างเดียวเลยหรอครับ เผื่อเป็นไกด์ให้ Startup รุ่นใหม่ครับ
หรือหาอ่านได้ที่ไหนปะครับ
ไว้มีโอกาสแล้วจะไปสัมภาษณ์มาให้อ่านกันนะครับ
ขอบคุณครับ
ชอบที่จะเก็บข้อมูลเพื่อศึกษาครับ