Tags:
Node Thumbnail

ตอนที่สองของซีรีส์ "สัมภาษณ์คนไทยในซิลิคอนวัลเลย์" คราวนี้เรามาคุยกับคุณปรัชญ์ ผลาภิรมย์ คนไทยที่เคยทำงานกับบริษัทไอทีรายใหญ่ของโลกมาแล้ว 2 แห่งคือ Yahoo และ Salesforce ทำให้มีประสบการณ์ด้านวัฒนธรรมการทำงานของบริษัทไอทีที่แตกต่างกันหลายแบบ ทั้งเว็บ (Yahoo) และแอพสำหรับลูกค้าองค์กร (Salesforce) จุดที่ผมคิดว่ามีประโยชน์มากๆ คือประสบการณ์ในการสัมภาษณ์งานกับบริษัทไอทีหลายแห่งที่คุณปรัชญ์นำมาถ่ายทอดผ่านบทสัมภาษณ์ชิ้นนี้

สมัยเรียนปริญญาตรีที่เมืองไทย คุณปรัชญ์ยังเคยเป็นตัวแทนประเทศไทยไปแข่ง Imagine Cup ในปี 2006 ด้วย ปัจจุบันคุณปรัชญ์กำลังเริ่มงานใหม่กับบริษัท Platfora ที่ทำด้าน big data analytics

No Description

ประวัติความเป็นมา แนะนำตัวแบบคร่าวๆ เรียนอะไรมา เคยทำงานอะไรมาบ้าง

ผมจบปริญญาตรี วิศวกรรมคอมพิวเตอร์จากจุฬาฯ แล้วไปต่อปริญญาโทด้าน Information Systems Management ที่ Carnegie Mellon University ทันทีครับ

ระหว่างเรียน ป.ตรี ตอนกำลังขึ้นปี 3 ได้ลงแข่ง Microsoft Imagine Cup ปี 2006 (Software Design) กับเพื่อนในรุ่นอีก 3 คน สมาชิกในทีมตอนนี้คนนึงทำงานอยู่ Facebook (ตูน) คนนึงเรียนเอกอยู่ญี่ปุ่น (วีนนาท) ส่วนอีกคนเปิดบริษัทตัวเองอยู่ที่ไทย (วง) ทีมเราได้เป็นตัวแทนประเทศไทยไปแข่งต่อที่อินเดีย

การแข่งครั้งนี้มีผลต่อตัวผมอยู่มากเหมือนกัน การได้ทำโครงการจริงจัง ต้องหาข้อมูล แก้ปัญหาต่างๆ ช่วยเพิ่มประสบการณ์ได้มาก แต่ที่มีผลมากที่สุดคือเรื่องของภาษา ผมเคยคิดมาตลอดว่าภาษาอังกฤษผมก็ไม่ได้แย่นะ แต่พอไปแข่งที่อินเดียแล้วคุยกับตัวแทนจากประเทศอื่นไม่ค่อยได้ พอแข่งเสร็จกลับมาเลยมีความคิดว่าต้องไปเรียนภาษาเพิ่มเติม และทำให้ผมอยากไปเรียนต่อต่างประเทศด้วย

ที่ผมไม่ได้เลือกเรียนสาขา Computer Science ตอนปริญญาโท เพราะคิดว่าคงเหมือนกับที่เรียนตอนปริญญาตรี บวกกับตอนที่ไปแข่งที่อินเดีย เห็นทีมจากประเทศอื่นนำเสนอโครงการในแง่ธุรกิจด้วย ก็เลยอยากเรียนเพิ่มเติมทางนี้ จึงเลือกเรียนสาขา Information Systems Management แทน

ระหว่างเรียนได้ไปฝึกงานที่บริษัท Bombardier ที่ Pittsburgh บริษัทนี้ทำระบบให้ BTS ที่ไทยด้วยครับ แต่ตัวผมได้ไปทำในส่วนของระบบ time sheet ของพนักงานรวมถึงอินทราเน็ตของบริษัท

หลังเรียนจบ ผมได้งานที่ Yahoo ในตำแหน่ง Front-end Engineer

การมาสมัครงานที่ Yahoo ครั้งแรก มีประสบการณ์อย่างไรบ้าง ทำไมถึงมายื่นที่นี่ มีกระบวนการสัมภาษณ์งานอย่างไร

ช่วงนั้นงานหายากมากครับ เป็นช่วงที่เศรษฐกิจที่อเมริกาไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ผมสมัครไปเยอะมาก ที่เงียบหายไปเลยก็เยอะ หลายที่ก็มีนัดสัมภาษณ์แต่ไม่ได้งาน ส่วนใหญ่กระบวนการสัมภาษณ์จะเริ่มจากสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ก่อน ถ้าผ่านขั้นนี้ได้แล้ว จะขึ้นกับแต่ละบริษัท บางบริษัทจะให้ทดสอบเขียนโปรแกรม บางที่ก็ไม่ต้อง หลังจากนั้นก็ไปสัมภาษณ์ที่บริษัทครับ ถ้าได้ไปถึงขั้นนี้ บริษัทจะออกค่าเดินทาง-ค่าที่พักให้หมดเลยครับ

ตอนสมัครที่ Yahoo ผมสมัครผ่านหน้าเว็บของ Yahoo เองเลย แล้วเค้าจะติดต่อมานัดวันเวลาโทรศัพท์สัมภาษณ์ พอวันโทรคุยกันจริงๆ เขาจะเริ่มจากให้เราแนะนำตัว ทำอะไรมาบ้าง เสร็จแล้วก็ถามคำถามเทคนิคทั่วไป เช่น ให้อธิบายหลักการ OOP หรืออัลกอริทึมต่างๆ ให้เราอธิบายว่าจะหาคำตอบของปัญหาแต่ละข้ออย่างไร

พอคุยเสร็จ เค้าหายไปประมาณ 3 อาทิตย์ ผมเลยส่งเมลไปถามถึงได้คำตอบว่าได้ไปต่อ ในวันสัมภาษณ์ที่บริษัท ต้องสัมภาษณ์ 4 รอบเลยครับ ส่วนใหญ่เป็นการเขียนโค้ดบนไวท์บอร์ดหรือถามเกี่ยวกับอัลกอริทึม เทคโนโลยีเว็บทั่วไป แต่เนื่องจากเป็นเด็กจบใหม่เค้าเลยไม่ได้ถามลงลึกเรื่องเทคโนโลยีมากนัก

หลังจากนั้นหนึ่งสัปดาห์จึงได้รับข้อเสนอให้เข้าทำงานกับ Yahoo ครับ

น่าจะผ่านการสัมภาษณ์งานกับบริษัทไอทีมาเยอะ อยากให้แนะนำเทคนิคการสัมภาษณ์หน่อยครับ

อย่างที่บอกในตอนแรกว่าผมสมัครไปเยอะมาก และโดนปฏิเสธเกือบเยอะมากเหมือนกัน สิ่งที่เป็นอุปสรรคใหญ่ของผมคือเรื่องของภาษาครับ การโทรศัพท์สัมภาษณ์นั้นยากมากสำหรับผมเพราะเป็นการคุยกันแบบไม่เห็นหน้า ไม่สามารถเขียนอธิบายบนไวท์บอร์ดให้เค้าได้ ดังนั้นต้องหาอธิบายวิธีการแก้ปัญหาให้เค้าเข้าใจง่ายๆ ซึ่งผมยังทำได้ไม่ดีนัก

การสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ในปัจจุบันเริ่มเปลี่ยนไปบ้าง เพราะบริษัทหลายแห่งเริ่มใช้เครื่องมือช่วยระหว่างการสัมภาษณ์ เพื่อให้ผู้สัมภาษณ์นำเสนอแนวคิดได้ดีขึ้น แทนที่เราจะอธิบายปากเปล่าก็เปลี่ยนมาเป็นการเดโมผ่าน CodePad หรือ Collabedit บางบริษัทอาจใช้ Google Docs เลยด้วยซ้ำ เครื่องมือพวกนี้ช่วยให้เราสัมภาษณ์งานง่ายขึ้นครับ

เทคนิคการเตรียมตัวสัมภาษณ์งานที่แนะนำ

  1. ปัจจุบันนี้ มีเว็บรวมคำถามสัมภาษณ์ของแต่ละบริษัทหลายเว็บมาก เช่น hackerrank.com, careercup.com, glassdoor.com พวกนี้เราเข้าไปดูแนวทางก่อนได้
  2. ต้องฝึกทำโจทย์บ่อยๆ เพราะสุดท้ายแนวทางแก้ปัญหามันมีไม่กี่อย่าง ถ้าเราเคยทำโจทย์มาครอบคลุมพอ มันจะหนีไม่พ้นแนวทางพวกนี้
  3. ตอนสัมภาษณ์ ให้พยายามถามเพื่อเก็บข้อมูลเกี่ยวกับโจทย์ที่เค้าถามให้มากที่สุดก่อน แล้วจึงค่อยๆ หาทางแก้ไป อาจใช้วิธีแบ่งเป็นปัญหาย่อยๆ ระหว่างนั้นก็ต้องพูดไปด้วยนะครับว่า เรากำลังคิดอะไรอยู่ ห้ามเงียบ เพราะเค้าจะไม่รู้ว่าเราแก้ปัญหายังไง เค้าก็ให้ใบ้เราไม่ถูก บางครั้งเราอาจคิดวิธีไม่ออก แต่ผู้สัมภาษณ์เห็นว่ากระบวนการคิดแก้ปัญหาเราใช้ได้ เค้าก็ให้ไปต่อครับ

การทำงานที่ Yahoo เป็นอย่างไรบ้าง

เข้าไปตอนแรกไม่รู้อะไรเลย บริษัทมีพี่เลี้ยงช่วยดูแล ชีวิตช่วงแรกเป็นเทรนนิ่งอย่างเดียว ให้ฝึกเขียน CSS/HTML โดยการเขียนหน้าแรกของ Yahoo ขึ้นมาใหม่ เพื่อให้รู้ว่าแต่ละส่วนเค้าใช้เทคนิคอะไรสร้างมันขึ้นมา

หลังจากทำงานกับ Yahoo ได้ประมานปีครึ่ง ผมย้ายไปทำงานที่ Salesforce.com โดยมีพี่คนไทยที่รู้จักกันแนะนำ (refer) ให้ มาที่นี่มีตำแหน่งเป็น Full-stack Engineer ได้ทำทุกอย่างตั้งแต่ฐานข้อมูลยัน front-end

การ refer จากพนักงานคนใน มีผลมากน้อยแค่ไหนต่อการได้งาน

มีผลมากครับ เพราะการได้ refer จากคนที่ทำงานอยู่แล้ว ก็ข้ามกระบวนการคัดเลือกของ HR หรือ recruiters ที่บางครั้งอาจมองข้ามเราไป เพราะบางที keyword ใน resume เราไม่ตรงกับ job description ของเขา ทำให้เขาหาเราไม่เจอ

แต่จริงๆ แล้วบริษัทก็ไม่ได้ต้องการคนที่มีทุกอย่างตามนั้นเป๊ะๆ เพราะเทคโนโลยีแต่ละตัว มันสามารถเรียนรู้กันได้ภายหลัง

อีกอย่างคือบริษัทเชื่อว่าคนที่ทำงานอยู่แล้วอยากทำงานกับคนที่เก่งเหมือนกัน ดังนั้นคุณภาพของผู้สมัครที่มาจากการ refer ส่วนใหญ่จึงสูงกว่าคนที่สมัครมาตรงๆ หรือผ่าน head hunter มาครับ

No Description

แนะนำบริษัท Salesforce สักหน่อยว่ามีแนวทางการทำงานอย่างไร มีผลิตภัณฑ์อะไรบ้าง

Salesforce มีผลิตภัณฑ์หลัก 6 กลุ่มคือ

  • Sales - CRM and Sales automation, data.com
  • Service - Customer support and help desk applications
  • Marketing - Digital marketing platform
  • Communities - Chatter (internal social network), customer communities
  • Analytic - Wave, Business data analytics
  • Platform and Apps - Heroku, App exchange, Salesforce1

แนวทางการทำงานของบริษัทใช้ agile โดยแบ่งเป็นทีมเล็กๆ ประกอบด้วย developer 4-5 คน, quality engineer 2-3 คน, product owner 1 คน, document writer 1 คน

ในทีมมีนโยบายว่าต้องมีประชุม stand up meeting ทุกวัน ยกเว้นวันพฤหัสที่ยกให้เป็น no interruption day คือจะไม่มีการนัดประชุมอะไรในวันนั้น ไม่จำเป็นจะต้องตอบเมล และพนักงานหลายคนจะทำงานจากที่บ้าน

นโยบายนี้ทำให้วิศวกรไม่โดนรบกวนระหว่างทำงาน ส่งผลให้ทำงานได้ดียิ่งขึ้น เกิด productivity มากขึ้น

งานที่ Salesforce.com ทำอะไรบ้าง

งานที่ทำเกี่ยวกับส่วนของ Customer Service Community ครับ เพราะ Salesforce Service Cloud มีผลิตภัณฑ์หลายตัวที่สามารถนำมารวมกันเป็นโซลูชันให้ลูกค้าได้

งานของทีมผมจึงเป็นการสร้างเว็บไซต์สำหรับตอบคำถามลูกค้า เพื่อให้ลูกค้าของบริษัทมารวมตัวกันเป็นชุมชน ตัวโซลูชันก็จะมีฟีเจอร์อย่าง case management, knowledge management และ Q&A

เป้าหมายของโซลูชันนี้คือให้ลูกค้าสามารถแก้ปัญหาได้ด้วยตัวเอง หรือแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกันเอง แทนที่จะต้องติดต่อแผนกบริการลูกค้าทุกครั้งไป ทำให้บริษัทสามารถลดต้นทุนด้านการให้บริการลูกค้าลงได้ เช่น เมื่อลูกค้ามีปัญหาแล้วค้นกูเกิลหาคำตอบ เค้าจะเจอข้อมูลใน knowledge article ของบริษัทก่อนเป็นอย่างแรก ถ้ายังไม่สามารถแก้ปัญหาได้ ก็สามารถโพสต์ถามในเว็บชุมชน หรือส่งเคสไปยังแผนกบริการลูกค้า แต่ก่อนโพสต์ เราจะแสดงคำถามที่ใกล้เคียงกันให้ดูก่อน เพื่อลดจำนวนเคสที่ซ้ำซ้อนลงมา

ตลาดซอฟต์แวร์แบบ Salesforce มีความน่าสนใจแค่ไหน ถ้าอยากทำงานด้าน CRM/Enterprise Software ต้องศึกษาอะไรบ้าง

ผมมองว่าตลาดของแอพที่รันอยู่บนคลาวด์ยังโตได้อีกมาก ถ้าอยากทำงานสายนี้ ต้องศึกษาด้านเว็บแอพพลิเคชัน เทคโนโลยีเว็บทั้งหลาย แต่ที่สำคัญมากที่สุดก็คือพื้นฐานคอมพิวเตอร์ต้องแน่น อย่างพวก data structure, algorithm, problem solving และที่หนีไม่พ้นคือ communication skill ต้องมีด้วยครับ

ในฐานะที่ทำงานมาแล้วสองที่ การทำงานที่ Yahoo กับ Salesforce มีความแตกต่างกันมากน้อยแค่ไหนในแง่วัฒนธรรมการทำงาน

ที่ต่างกันมากที่สุดเป็นเรื่องของการออกผลิตภัณฑ์ (release product) ครับ

ที่ Yahoo มีหลายครั้งที่ทีมงานสร้างผลิตภัณฑ์ขึ้นมาสักตัว แต่กลับไม่ออกให้บริการต่อลูกค้า ทำให้ทีมเสียกำลังใจมาก มีหลายคนที่ลาออกจาก Yahoo เพราะเรื่องนี้

ที่ Yahoo แต่ละทีมไม่ได้มีรอบการออกผลิตภัณฑ์ (release cycle) ที่ตรงกัน และไม่ได้มีเส้นตายที่เป๊ะมากว่าต้องออกเมื่อไร แต่ Salesforce มีกำหนดการที่แน่นอน ทุกทีมในบริษัทต้องทำตามแผนนี้ ทำให้ทุกทีมต้องวางแผนอย่างดีตั้งแต่ต้นว่าการออกแต่ละรุ่นจะทำอะไรบ้าง

ล่าสุดทราบว่าย้ายงานไปบริษัทใหม่ อยากให้เล่าเรื่องนี้หน่อยครับ

บริษัทล่าสุดที่เพิ่งเข้ามาทำงานได้ไม่กี่วันคือ Platfora บริษัทนี้ทำ big data analytic ช่วยให้การตอบคำถามที่เกี่ยวกับ data รวดเร็วขึ้น

บริษัทอื่นอาจทำเฉพาะส่วน data warehouse หรือ visualization แต่เราทำหมดทั้งกระบวนการ (end-to-end) ตั้งแต่ดึงข้อมูลมาจนถึง visualization เลยครับ

ประสบการณ์การทำงานในสหรัฐ พบว่าวัฒนธรรมการทำงานแตกต่างกับเมืองไทยมากน้อยแค่ไหน

ผมไม่เคยทำงานเต็มเวลาที่เมืองไทย เคยแต่ฝึกงาน ไม่แน่ใจเรื่องวัฒนธรรมการทำงานมากนัก แต่ข้อดีของการทำงานในสหรัฐคือสามารถคุยกันได้ เถียงกันได้ ไม่เกี่ยงตำแหน่งหรือความอาวุโส ส่วนเรื่องเวลางานจะยืดหยุ่นมาก ขอแค่งานเสร็จก็พอ

อยากให้แนะนำให้น้องๆ รุ่นหลังที่อยากมาทำงานด้านไอทีในสหรัฐ

พื้นฐานเป็นสิ่งสำคัญครับ การจะผ่านสัมภาษณ์ได้ ส่วนมากใช้ทักษะด้านคอมพิวเตอร์พื้นฐานทั้งนั้น

คนที่มาเรียนต่อที่นี่มีโอกาสหางานได้ง่ายกว่า เนื่องจากสหรัฐให้วีซ่านักเรียนสามารถทำงานต่อได้ 1 ปีหลังจากเรียนจบ หลังจากนั้นบริษัทถึงต้องสปอนเซอร์วีซ่าประเภททำงานให้ ทำให้บริษัทสะดวกกว่าในการรับคนที่มีวีซ่าอยู่ก่อนแล้ว

ส่วนคนที่อยากมาจากไทยโดยตรง แนะนำว่าต้องสร้างโพรไฟล์ของตัวเองด้วยการลงแข่งขันรายการต่างๆ ทั้งระดับประเทศและระดับโลก เพราะเท่าที่ทราบมีเพื่อนหลายคนที่ไม่ได้มาเรียนที่นี่ แต่ได้มาทำงานที่นี่เพราะเข้าแข่งรายการพวกนี้

Get latest news from Blognone

Comments

By: wiennat
Writer
on 28 June 2015 - 10:26 #822983

โพรไล์ > โพรไฟล์,โปรไฟล์ (อันไหนถูกกว่ากันผมก็ไม่แน่ใจ)
งานหายากมาครับ > งานหายากมากครับ


onedd.net

By: ibeauty
iPhoneUbuntuWindows
on 28 June 2015 - 13:28 #823014
ibeauty's picture

หล่อจังเลยค่ะ คำพูดคำจาก็แลดูชาญฉลาด

By: aunnop
iPhoneWindows PhoneAndroidSUSE
on 28 June 2015 - 19:05 #823072

โดนปฏิเสธเกือบเยอะมากเหมือนกัน -> โดนปฏิเสธเยอะมากเหมือนกัน