เมื่อวานนี้ (13 พ.ย.) มูลค่าหุ้นของไมโครซอฟท์เพิ่มขึ้นอีก 1.5% เป็น 49.51 ดอลลาร์ต่อหุ้น อันเป็นผลมาจากข่าวการซื้อ Aorato บริษัทซอฟต์แวร์ด้านความปลอดภัยบนกลุ่มเมฆจากอิสราเอล
ผลคือมูลค่าบริษัทตามราคาหุ้น (market capitalization) ของไมโครซอฟท์รวมแล้วแซงหน้าบริษัทน้ำมัน ExxonMobil ขึ้นมาเป็นบริษัทขนาดใหญ่อันดับสองของตลาดหลักทรัพย์อเมริกา เป็นรองแค่แอปเปิลเท่านั้น (ราคาหุ้นไมโครซอฟท์วันนี้เพิ่มมาเป็น 49.99 ดอลลาร์ต่อหุ้น มูลค่าบริษัท 411.9 พันล้านดอลลาร์ ส่วนมูลค่าบริษัทแอปเปิลอยู่ที่ 664.78 พันล้านดอลลาร์)
ฝั่งของ ExxonMobil ที่ตกมาเป็นอันดับสาม (มูลค่าบริษัทวันนี้ 401.22 พันล้านดอลลาร์) ก็ใช่ว่าจะอยู่สบาย เพราะกูเกิลที่มีมูลค่าหุ้นเป็นอันดับสี่ (372.52 พันล้านดอลลาร์) ก็ไล่จี้มาเรื่อยๆ เช่นกัน
ถ้ายังจำกันได้ แอปเปิลแซงหน้า ExxonMobil ขึ้นมาเป็นอันดับหนึ่งในปี 2011 ครับ
ที่มา - MarketWatch, The Street
Comments
เทพแท้ แม้ไม่โม้
แต่กัดเจ็บนะครับ
มาร่วมอธิบายเพิ่มเติมครับ สำหรับ ExxonMobil สาเหตุที่ทำให้เดินหน้าไปไหนไม่ได้เลยเนื่องจากเป็นบริษัททางพลังงาน หนึ่งในบริษัทพลังงานที่ใหญ่ที่สุดในโลก บ้านเราก็มีเช่นกันหรือก็คือ Esso นั่นเอง ในขณะเดียวกันในรอบระยะ 6 เดือนที่ผ่านมา ราคาน้ำมันร่วงลงมาค่อนข้างแรง แน่นอนหุ้นกลุ่มพลังงานก็แย่ไปหมด ไม่เว้นแม้แต่ไทย อย่างกลุ่มโรงกลั่น หรือสำรวจผลิตน้ำมัน ก็ร่วงไปเป็นแถบๆ (น่าแปลก PTT กลับขึ้นสวน ด้วยข่าวการยกเลิกการตรึงราคาพลังงาน)
ดังนั้นถ้าเทียบในแง่ที่ว่าหากราคาน้ำมันยังทรงตัว หรือปรับตัวขึ้นสูงตาม Seasonal ก็ไม่แน่ว่า Exxon อาจจะยังคงเป็นอันดับ 2 ได้อยู่ต่อไป เพราะโดยปกติแล้วช่วงฤดูหนาวของตะวันตกจะเป็นช่วง High Season ของการใช้พลังงานน้ำมัน ซึ่งโดยปกติแล้วราคาน้ำมันจะทรงตัวหรือปรับขึ้นสูง แต่ปีนี้ปรับตัวลดลง และลงหนักด้วยมาจากสองปัจจัยคือ ประเด็นเรื่อง Shale Gas ของสหรัฐกำลังจะเข้ามาแทนพลังงานบางชนิด (เนื่องจากสหรัฐเป็นชาติที่บริโภคพลังงานสูง อาจทำให้นำเข้าน้ำมันลดลง) และอีกประเด็นคือการเติบโตที่ช้าลงของเศรษฐกิจจีน (Slowdown) และจีนก็เป็นอีกชาติที่มูมมามมากในการบริโภคพลังงาน
ทั้งสองปัจจัยรวมกันก็ยังไม่เท่ากับการที่ OPEC บอกว่าจะยังไม่แทรกแซงราคาน้ำมัน หรือลดกำลังการผลิตลง ซึ่งในทางปกติแล้วหากราคาน้ำมันปรับตัวลดลงมากๆ OPEC มักจะลดกำลังการผลิตลง เพื่อสร้าง Supply ให้ลดลงก็จะเป็นผลให้ราคาน้ำมันโลกมีโอกาสคงตัวหรือปรับตัวสูงขึ้นได้
ส่วนอุตสาหกรรมเทคโนโลยีอย่าง Apple Google Microsoft ต่างก็เป็นวงการ IT ยักษ์ใหญ่ที่ควบคุม Eco System หลักที่ใช้กันในโลกทั้งในคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์พกพา ในขณะที่ยอดขายผลิตภัณฑ์อย่าง Apple ก็ยังทำสถิติที่น่าประทับใจสำหรับผู้ถือหุ้น ทั้งในแง่ EBIT ก็ยังคงดูดี ก็ยังส่งผลให้ราคาหุ้น Apple เติบโตได้เรื่อยๆ ล่าสุดเฉพาะ Market Cap. Apple บริษัทเดียว ก็ใหญ่ถึง 664 พันล้านดอลลาร์ หรือใหญ่กว่า Market Cap ทั้งตลาดทุกบริษัทของประเทศรัสเซียรวมกันไปแล้ว
นี่ก็ไม่ต้องนับรวมถึงตลาดหุ้นไทยเพราะเทียบกันแล้ว Market Cap ทั้งตลาดหุ้นไทยรวมกัน มีขนาดใหญ่ประมาณครึ่งหนึ่งของ Market Cap Apple บริษัทเดียวเช่นกัน หรือถ้าเทียบให้สนุกกว่านั้นคือ เฉพาะเงินสดที่ Apple มี สามารถเทคโอเวอร์ SCB+KBANK+BBL ประเทศไทยได้อย่างสบาย (แบบถือหุ้น 100% ด้วยเลย)
ซึ่งก็เป็นบทสรุปว่าการเติบโตของอุตสาหกรรมเทคโนโลยี และปัญหาของกลุ่มพลังงาน จึงทำให้เกิดปรากฎการณ์เช่นนี้ในตลาดเงินและตลาดทุน
ขอบคุณครับ ชัดเจนมาก
สุดยอดความรู้ครับ
มาแบบนี้บ่อยๆ นะครับ 555
กราบบชอบข้อความแบบนี้มากกก
ได้ที่ 1
ก็ iphone เค้าแพงซะขนาดนั้น อิอิ
ลงข่าวนี้หน่อยสิพี่ อ่านไม่ออก http://blog.imgtec.com/mips-processors/mips-based-ingenic-m200-chip-and-newton2-platform-wearables-and-iot http://www.anandtech.com/show/8702/ingenic-launches-newton2-mips-based-iot-and-wearables-solution
อยากได้ต้องทำเอง
อยากได้ต้องทำเอง สนใจก็เขียนเองครับ
I'm ordinary man; who desires nothing more than just an ordinary chance to live exactly what he likes and do precisely what he wants.
ระบบอีโค่ซิสเต็มแบบแอปเปิล ยังทำมาหากินได้อีกยาวนาน
ตอนนี้ขายคนในบ้าน อุปกรณ์พกพา อีกหน่อยขายคนนั่งในรถยนต์ ถัดไปขายคนนั่งในเครื่องบิน ศตวรรตหน้าขายคนนั่งในยานอวกาศ
นับเป็นข่าวดีที่ไมโครซอฟต์หันมาสนใจด้านนี้ ผมว่าคลาวด์ของ MS เองตอนนี้ก็ไปได้ดีนะ
อีกหน่อยพวกฮาร์ดแวร์ฝั่งไคลเอนต์คงทำออกมาแจกฟรีกันข้างถนน จ้างจีนปั๊มถูกๆ
ตอนนั้นค่าแรงจีนคงไม่ถูกแล้วคงย้ายฐานไป บราซิล ไม่ก็ แอฟริกาครับ
ตอนนี้ค่าแรงขั้นต่ำของบราซิลประมาณ $2.11 ต่อชั่วโมง จีนประมาณ $1.21
บราซิลก็รวยใช่เล่นนา