Tags:
Node Thumbnail

ที่งาน TechEd Europe 2013 ผมมีโอกาสได้สัมภาษณ์ผู้บริหารไมโครซอฟท์คนที่ขึ้นพูดบนเวที Keynote หลักของงาน (เกิดมาก็เพิ่งเคยสัมภาษณ์ผู้บริหารระดับนี้เหมือนกันครับ ตื่นเต้นๆ) นั่นคือคุณ Brad Anderson ตำแหน่งเป็น Corporate Vice President ในส่วนของ Windows Server and System Center (อธิบายง่ายๆ ว่าเป็นคนคุมสายงาน Windows Server ทั้งหมดนั่นล่ะครับ)

บทสัมภาษณ์นี้จึงเป็นการสนทนากับคุณ Brad ถึงวิธีคิด ยุทธศาสตร์ แนวทางต่างๆ ของไมโครซอฟท์ต่อผลิตภัณฑ์สายเซิร์ฟเวอร์ ศูนย์ข้อมูล รวมไปถึงกลุ่มเมฆ ทั้งปัจจุบันและอนาคตนั่นเอง (ควรอ่าน สัมภาษณ์ผู้บริหารไมโครซอฟท์ Zane Adam วาดยุทธศาสตร์ไอทีสำหรับยุคกลุ่มเมฆ ประกอบ)

alt="Brad Anderson - TechEd Keynote"

alt="P1012112"

ก่อนเข้าเรื่องใหญ่ๆ ผมก็ถามประเด็นยิบย่อยที่สงสัยมานานก่อนครับ

คนรู้จัก Windows Server ว่าเป็นระบบปฏิบัติการสำหรับทำเซิร์ฟเวอร์ แต่สำหรับ System Center ยังไม่ค่อยมีคนรู้จักว่ามันคืออะไร อยากให้อธิบายหน่อย

นิยามของคำว่า "ระบบปฏิบัติการ" เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตามยุคสมัย เดิมทีระบบปฏิบัติการหมายถึงซอฟต์แวร์ที่ทำหน้าที่ติดต่อกับฮาร์ดแวร์เท่านั้น และระบบปฏิบัติการสำหรับเซิร์ฟเวอร์ก็หมายถึงระบบปฏิบัติการที่รันบนคอมพิวเตอร์เครื่องเดียว

แต่ปัจจุบันนี้เวลาเราพูดกันถึง "เซิร์ฟเวอร์" ไม่มีใครหมายถึงฮาร์ดแวร์ตัวเดียวอีกแล้ว แต่ขยายขอบเขตไปถึงศูนย์ข้อมูลหรืออาจไปไกลถึงกลุ่มเมฆกันแล้ว System Center คือซอฟต์แวร์ที่ช่วยบริหารจัดการระบบต่างๆ ภายในศูนย์ข้อมูล จะเรียกมันว่าเป็น "ระบบปฏิบัติการสำหรับศูนย์ข้อมูล" ก็ได้ ซึ่งปัจจุบันคำว่าศูนย์ข้อมูลก็ขยายไปยังการเชื่อมต่อระบบกับกลุ่มเมฆด้วยเช่นกัน

นอกจากนี้เรายังมีผลิตภัณฑ์ใต้แบรนด์ System Center อีกตัวหนึ่งชื่อ System Center Configuration Manager ที่เน้นการบริหารจัดการอุปกรณ์ไอทีภายในองค์กรด้วย

อีกคำถามที่คนสงสัยกันเยอะคือชื่อ Azure มีความเป็นมาอย่างไร และออกเสียงแบบไหนจึงถูกต้อง

คุณ Brad หัวเราะแล้วบอกว่าเขาก็ไม่รู้เหมือนกัน ผู้ช่วยของเขาบอกว่า Azure มีความหมายว่า "blue sky" แต่ทำไมเลือกชื่อนี้ต้องไปถามฝ่ายการตลาด

ส่วนประเด็นเรื่องการออกเสียง เขาบอกว่าแล้วแต่สำเนียงอังกฤษ-อเมริกัน แต่จะอ่าน "แอส-ซัว" หรือ "แอส-เซอ" ก็ได้ (เน้นเสียงพยางค์แรก)

alt="P1011969"

เข้าเรื่องยุทธศาสตร์ด้านเซิร์ฟเวอร์-กลุ่มเมฆของไมโครซอฟท์ เราเห็นไมโครซอฟท์พูดคำว่า Cloud OS บ่อยๆ อะไรคือแนวคิดเบื้องหลังคำนี้

คุณ Brad อ้างอิงถึงสไลด์ในงาน keynote ว่า "Cloud OS" หมายถึง "แนวโน้ม-ทิศทาง" ของโลกไอทีองค์กร 4 ด้านที่ไมโครซอฟท์เห็นว่าโลกกำลังมุ่งไปในทางนี้ ได้แก่

  • Consumerization of IT หรือการที่ไอทีเข้ามามีบทบาทในฝั่งคอนซูเมอร์ แล้วกลายเป็นปัจจัยชี้ทิศทางของอุปกรณ์ไอทีภายในองค์กร (BYOD นั่นเอง)
  • Modern App Architecture สถาปัตยกรรมแอพยุคใหม่ เน้นจอสัมผัส เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต
  • Data Explosion ข้อมูลปริมาณมหาศาลชนิดที่โลกไอทีก่อนหน้านี้ไม่เคยนึกฝัน
  • Moving to the Cloud การย้ายระบบประมวลไปยังกลุ่มเมฆ

alt="Microsoft Cloud OS"

สิ่งที่ไมโครซอฟท์ต้องการคือเตรียมให้ลูกค้าองค์กรรับมือความเปลี่ยนแปลงนี้ และไมโครซอฟท์เองต้องมีผลิตภัณฑ์-บริการไว้รองรับความต้องการของลูกค้าด้วย

อะไรคือประโยชน์ของกลุ่มเมฆ? ทำไมเราถึงควรย้ายระบบขึ้นไปไว้บนกลุ่มเมฆ?

คำตอบหลักๆ มีแค่ 2 ข้อแต่เป็นปัจจัยสำคัญ ได้แก่

  • Agility ความรวดเร็วในการปรับตัวรองรับความเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจ ซึ่งกลุ่มเมฆทำให้สถาปัตยกรรมไอทียืดหยุ่นกว่า
  • Economy ปัจจัยเรื่องราคา การรวมเซิร์ฟเวอร์เข้าด้วยกัน (consolidation) ย่อมทำให้ราคาถูกกว่า และพอเป็นยุคกลุ่มเมฆก็ยังมีเรื่องการบริหารจัดการ การดูแลที่ลดราคาลงไปมา

หลักสำคัญของการประมวลผลบนกลุ่มเมฆหรือ cloud เป็นเรื่องของวิธีคิด เป็นเรื่องของโมเดลที่ต้องคิดใหม่ทำใหม่ ส่วนเรื่องสถานที่ของจุดที่ทำหน้าที่ประมวลว่าจะอยู่ที่ไหน ภายในหรือภายนอกองค์กร นั้นเป็นเรื่องสำคัญรองลงไป

วิสัยทัศน์ของไมโครซอฟท์ในเรื่องกลุ่มเมฆคือ consistent cloud everywhere ไม่ว่าสถานที่ประมวลผลจะเป็น private/public/host ต้องเหมือนกันทั้งหมด ซอฟต์แวร์ทำงานข้ามกันได้ ใช้เครื่องมือบริหารจัดการตัวเดียวกัน ไม่ต้องมีคำว่า migrate โผล่มาให้เห็น

alt="Consistenct Across Clouds"

นี่จึงเป็นเหตุว่าทำไมไมโครซอฟท์ถึงขยับตัวอย่างแรงในช่วงหลัง และย้ายซอฟต์แวร์ของตัวเองมาไว้บนกลุ่มเมฆอย่างแข็งขัน ตอนนี้บริษัทยังออกผลิตภัณฑ์เวอร์ชันกลุ่มเมฆไม่ครบ แต่ก็จะพยายามให้ครบในเร็ววัน

ตอนนี้ไมโครซอฟท์มีซอฟต์แวร์ตัวเดียวกันที่รันบนเซิร์ฟเวอร์องค์กรแบบเดิม และรันบน Azure อยากทราบว่าให้ความสำคัญกับอะไรมากกว่า

ยุทธศาสตร์ของไมโครซอฟท์ตอนนี้คือออกรุ่นย่อยๆ พัฒนาความสามารถใหม่ๆ บน Azure ก่อน เนื่องจากทดสอบกับลูกค้าจริงได้เร็วกว่า เมื่อพัฒนาไปพอสมควรแล้วก็จะรวมฟีเจอร์เหล่านั้นเข้าไปอยู่ในชุดซอฟต์แวร์เวอร์ชันองค์กรอีกทีหนึ่ง

นี่ไม่ได้แปลว่าไมโครซอฟท์จะทิ้งซอฟต์แวร์เวอร์ชันติดตั้งบนเซิร์ฟเวอร์จริง (on premise) ซอฟต์แวร์เหล่านี้ยังสำคัญในเงื่อนไขบางอย่าง เช่น เป็นระบบแบ็คอัพให้กับเวอร์ชันบน Azure เป็นต้น ในองค์กรขนาดใหญ่ก็คงต้องรันขนานกันไป

เมื่อพูดถึงกลุ่มเมฆ เรามักนึกถึงระบบใหญ่ๆ มากๆ ซึ่งน่าจะเหมาะกับหน่วยงานขนาดใหญ่ คำถามคือหน่วยงานระดับ SME จะเหมาะสมกับกลุ่มเมฆหรือไม่?

ลูกค้าของไมโครซอฟท์คือองค์กรทุกระดับชั้น ปัจจุบันมีองค์กรขนาดเล็กจำนวนมากที่กลับมี "ข้อมูลขนาดใหญ่" ซึ่งการประมวลผลบนกลุ่มเมฆนั้นคุ้มค่ากว่า และเอาเข้าจริงแล้ว องค์กรขนาดเล็กกลับปรับตัวเข้ากับยุคกลุ่มเมฆได้เร็วกว่าองค์กรขนาดใหญ่ด้วยซ้ำ

(หมายเหตุ: ผมได้สัมภาษณ์บริษัท DDM ของอิตาลีซึ่งเป็น startup ทำแอพทีวีบนมือถือในยุโรป 9 ประเทศ มีพนักงาน 8 คนแต่สิ้นเปลืองปริมาณทราฟฟิกเยอะมาก ถือเป็นตัวอย่างลูกค้า Azure ที่เป็น SME ที่น่าสนใจรายหนึ่ง)

การย้ายงานประมวลผลขึ้นไปบนกลุ่มเมฆ มีผลต่อการจ้างงานในโลกไอทีบ้างหรือเปล่า เช่นกลุ่มเมฆจะทำให้คนไอทีตกงาน

ตรงกันข้ามเลย งานหลักของฝ่ายไอทีในองค์กรคือช่วยผลักดันให้สายงานธุรกิจเดินหน้าไปด้วยดี ไม่ใช่การเสียเวลากับการแก้ไขปัญหาทางเทคนิคที่จุกจิก ดังนั้นการย้ายระบบขึ้นกลุ่มเมฆช่วยให้ฝ่ายไอทีไม่ต้องมารับภาระงานจุกจิกเหล่านี้ และเอาเวลา-ทรัพยากรไปทำในสิ่งที่ควรทำ นั่นคือช่วยเสริมการพัฒนาธุรกิจของหน่วยงาน

ความเห็นของพนักงานสายไอทีที่มาร่วมงาน มองเรื่องนี้เป็นบวกมากๆ หลายคนมองว่าไมโครซอฟท์มาถูกทางแล้ว เกาะกระแสกลุ่มเมฆทัน และช่วยให้งานของพวกเขาง่ายขึ้น

alt="IT Job growth in the Cloud"

หมายเหตุ: สไลด์ข้างต้นมาจากการนำเสนอของผู้บริหารอีกคนแต่ผมคิดว่าเกี่ยวข้องกันเลยนำมาแปะครับ จากภาพคือตำแหน่งงานไอทีแบบเดิม (สีฟ้า) จะคงตัว ส่วนงานสายกลุ่มเมฆ (สีแดง) เพิ่มขึ้นมากจนมีปัญหาว่าแรงงานขาดแคลนมากเพราะเป็นทักษะที่ใหม่ คนยังปรับตัวไม่ทัน

ดูเหมือนว่าไมโครซอฟท์เข้มแข็งมากในตลาดกลุ่มเมฆ อยากทราบว่ามองใครเป็นคู่แข่งบ้าง

บริษัทที่เรามองว่าเป็นคู่แข่งมีด้วยกัน 4 ราย ได้แก่

  • Oracle ในด้านหนึ่งเราเพิ่งประกาศความร่วมมือกับออราเคิลให้ระบบกลุ่มเมฆทำงานร่วมกันได้ แต่ในแง่ของผลิตภัณฑ์ฐานข้อมูล เราก็ต่อสู้กับออราเคิลอย่างหนัก
  • VMware ตลาด virtualization ภายในองค์กรยังเป็นของ VMware แต่ส่วนแบ่งก็ลดลงเรื่อยๆ ในขณะที่ Hyper-V ชิงส่วนแบ่งตลาดได้มากขึ้นเรื่อยๆ ทุกปี
  • Amazon ตลาดกลุ่มเมฆมีผู้เล่นรายใหญ่เพียงสองรายคือ Amazon Web Services กับ Azure ซึ่งจุดเด่นของไมโครซอฟท์ก็อย่างที่บอกไปแล้วว่า นำแอพพลิเคชันเดิมมารันบน Azure ได้เลย นอกจากนี้เรายังเสนอราคาที่ถูกกว่า และกล้าเปิดเผยข้อมูลเสถียรภาพของระบบอย่างละเอียด ในขณะที่ AWS ไม่ยอมเปิดเผยข้อมูลเหล่านี้
  • Google กูเกิลตามหลังมาเป็นอันดับสามแบบห่างๆ ในตลาด public cloud แต่ก็สู้กันหนักในเรื่องบริการออนไลน์ ซึ่งไมโครซอฟท์ก็แข่งด้วย Office 365 ที่มีจุดเด่นว่าเป็นระบบอีเมล-งานเอกสารแบบเดิมที่องค์กรคุ้นเคย ไม่ต้องย้ายระบบหรือเรียนรู้ใหม่ และปัจจุบัน Office 365 ก็ได้รับความนิยมสูงมากในระดับที่เรียกว่า "โตเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ของไมโครซอฟท์"

นอกจากนี้เราก็ยังแข่งขันกับแอปเปิลในตลาดอุปกรณ์ไอที แต่นั่นเป็นเรื่องของตลาดฝั่งคอนซูเมอร์มากกว่า

เมื่อพูดถึงกลุ่มเมฆ คำถามที่เจออยู่เสมอคือ "เมื่อไรจะเปิดศูนย์ข้อมูลในประเทศไทย" คุณมีปัจจัยในการเลือกประเทศอย่างไร

หลักๆ เลยเราดูเรื่องความต้องการในตลาดนั้นๆ เป็นหลักว่ามีมากน้อยแค่ไหน นอกจากนี้ก็ยังมีปัจจัยเรื่องอื่น เช่น โครงสร้างพื้นฐาน และกฎระเบียบของภาครัฐประกอบกันด้วย

ปัจจุบันไมโครซอฟท์มีศูนย์ข้อมูลในเอเชียแปซิฟิกหลายแห่ง ได้แก่ ญี่ปุ่น สิงคโปร์ ออสเตรเลีย จีน ฮ่องกง โดยไมโครซอฟท์ถือเป็นบริษัทระดับโลกรายเดียวที่เปิดศูนย์ข้อมูลในประเทศจีนในขณะนี้

alt="Azure Global Data Center"

Get latest news from Blognone

Comments

By: hisoft
ContributorWindows PhoneWindows
on 26 June 2013 - 18:16 #590835
hisoft's picture

มองดูน่าจะเป็นอนาคตจริง ๆ แหละครับ เหมือนเคยโดนขายฝันไว้สมัยคลัสเตอร์กำลังรุ่ง ไทยเป็นหัวหอกในภูมิภาคนี้ในเรื่อง Grid computing จน Microsoft เองยังมาจัดแข่ง The Leading Edge ได้ปีนึงจากนั้นก็ดับไป

แต่คราวนี้มากันไกลกว่านั้น ครอบคลุมวงกว้างกว่านั้นคงไม่ซ้ำรอยแล้วมั้งครับ

By: Perl
ContributoriPhoneUbuntu
on 26 June 2013 - 18:51 #590849
Perl's picture

รู้สึกยิ่งใหญ่สมกับเป็นเว็บ IT ระดับแนวหน้าเลยทีเดียว

By: StatusQuo
iPhoneWindows PhoneAndroidWindows
on 26 June 2013 - 19:13 #590858

เรื่อง cloud นี่ดูเหมือนจะเป็นเทคโนโลยีสมัยใหม่ไม่กี่อย่างที่ microsoft ตามทันและแข่งขันได้ดี จะว่าไปผมว่า microsoft แข่งขันพัฒนาและปรับตัวในตลาด enterprise ได้ดีกว่าตลาด consumer เสมอมา แม้ว่าตลาด consumer จะสามารถเข้ามาเป็นผู้นำได้ก่อนเป็นที่รู้จักมากกว่าแต่เพราะเป็นผู้นำมาก่อนอย่างยาวนานทำให้ปรับตัวช้ากว่าจนพลาดและกลายเป็นผู้ตามในที่สุด ขณะที่ตลาด enterprise แม้จะเริ่มช้าๆจากการต่อยอดตลาด consumer แต่ก็พัฒนาปรับตัวได้รวดเร็วจนก้าวมาเป็นผู้นำได้

สมัยก่อนคงไม่มีใครนึกว่าสาย WindowsNT จะแข่งกับ netware unix ที่อยู่มาก่อน หรือ os/2 ที่เกิดไล่เลี่ยกันได้ แต่ก็กลายเป็นสาย windows ที่อยู่รอดในปัจจุบัน และแข่งกับ linux ส่วน unix ที่อยู่มานานกว่าใครก็กระเด็นไปอยู่ขอบสนามแทน ด้าน sql server ก็ตามสไตล์ microsoft ที่ไม่ได้คิดเองก่อนแต่ไปต่อยอดจาก sybase จนปัจจุบันเหลือผู้นำตลาดแค่ oracle microsoft และ ibm ส่วนต้นแบบอย่าง sybase ก็ตกต่ำจนโดน sap ซื้อไปแทน

By: leonoinoi
AndroidUbuntuWindows
on 29 June 2013 - 00:46 #591730 Reply to:590858

ผมมองกลับทางครับ คนที่ไม่สามารถแข่งตลาด consumer ได้ จะถูกบีบให้ไปเข้าสู่ตลาด องค์กร และก็จะเล็กลงเรื่อย ๆ จนตายในที่สุดครับ จังหวะที่ windows nt ชนะ เป็นเพราะ MS ชนะในตลาด consumer แล้วด้วย windows (เกือบทุกบริษัท เคยใหญ่ใน consumer และเข้าสู่ตลาด องค์กร และสุดท้าย ต้องออกจากตลาดไป เช่น ibm) ผมมองว่ามันเป็นวัฒจักรไปแล้วครับ

By: tontpong
Contributor
on 3 July 2013 - 19:35 #593283 Reply to:591730

งง ตกลงว่า..

  • คนที่เข้าสู่ตลาดองค์กรเพราะถูกบีบเนื่องจากไม่สามารถแข่งตลาด consumer ได้

หรือ

  • คนที่ชนะในตลาดองค์กรเพราะชนะในตลาด consumer แล้ว

ปล. ถ้านับว่าตอนนี้ microsoft แพ้ใน consumer .. แต่ยังไม่วี่แววว่าคนที่ชนะในตลาด consumer จะมีรายไหนที่น่าจะเจาะตลาดองค์กรต่อได้เลย

By: leonoinoi
AndroidUbuntuWindows
on 3 July 2013 - 20:05 #593294 Reply to:593283

ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่า ตลาดคอนซูมเมอร์แข่งขันสูงมาจิ้นต่ำ ตลาดองค์กรแข่งขันต่ำมาจิ้นสูง เพราะฉนั้นบริษัทเมื่อโตพอที่จะจับตลาดองค์กรได้แล้วก็จะเน้นตลาดนี้เพราะกำไรมากกว่า จะว่าถูกบีบก็ไม่เชิงผู้บริหารส่วนใหญ่เลือกกินกำไรในตลาดองค์กรเพราะมีกำไรสูงกว่า สบายกว่าทำให้สักยภาพในการแข่งขันลดลง แต่นวัตกรรมใหม่ ๆ ส่วนใหญ่ออกมาจากคอนซูมเมอร์ เนื่องจากการแข่งขันสูงทำให้เกิดนวัตกรรมใหม่ ๆ อยู่เสมอ และราคาก็ถูกกว่า ที่ winnt ชนะเพราะใช้ interface เดียวกับ windows ในตลาดคอนซูมเมอร์ เมื่อผู้ใช้เคยชินกับผลิตภันฑ์ ทำให้เข้าตลาดองค์กรได้ง่าย

By: tontpong
Contributor
on 4 July 2013 - 11:18 #593502 Reply to:593294

ยังคิดตามไม่ทัน -.-"

เกือบคล้อยตามละ ถ้าอ่านแยกแต่ละ reply .. แต่พออ่านรวมๆ กันแล้ว นึกไม่ออกว่ามันเชื่อมกันยังไง

By: komsanw
iPhoneWindows PhoneAndroidRed Hat
on 26 June 2013 - 22:55 #590933
komsanw's picture

Azure ใช้ง่ายกว่า AWS เยอะ

By: Yone on 27 June 2013 - 00:02 #590950 Reply to:590933

Absolutely true
Interface ล้ำจนอึ้งมออกแบบได้เจ๋งดี เข้าใจง่าย

By: gogermany
Windows PhoneUbuntuWindows
on 30 June 2013 - 13:55 #592177 Reply to:590933
gogermany's picture

ใช้ง่ายแต่ทำอะไรไม่ค่อยได้ครับ เหมือนยังทำกันไม่เสร็จ

By: tontpong
Contributor
on 3 July 2013 - 19:23 #593277 Reply to:592177

ที่ว่าทำอะไรไม่ค่อยได้นี่ คือจะทำอะไรละครับ.. แบบว่ามีเพื่อนถามมาเยอะ ว่าทำนู่นนี่นั่นได้มั้ย ผลคือทำได้แต่ทว่าเพื่อนเค้าหาหน้าจอไม่เจอ

แล้วจิงๆ กับ cloud นี่ไม่ควรจะต้องทำอะไรมากด้วย ควรเริ่มใช้งานได้ไวๆ แทนการทำได้เยอะแต่ทำยากทำนาน.. เพราะหากต้องเซตไรมากมันคงไม่พร้อมใช้ไม่ใช่ on-demand ละ มันควรต้อง abstraction ไม่ใช่แค่ virtualization

By: gogermany
Windows PhoneUbuntuWindows
on 8 July 2013 - 23:34 #594821 Reply to:593277
gogermany's picture

ยกตัวอย่างอันนึงละกัน ถ้าอยากจะเปิด port range ใน portal ก็ไม่ได้แล้วครับ ต้องมานั่ง Add endpoint ทีละอันเหนื่อยตายพอดี แต่ถ้าจะทำจริงๆก็ต้อง มาเขียน script power shell ให้มัน loop เพิ่มทีละอันเอา ทำให้มันยากกว่าเดิมอีก

ส่วนเรื่อง on-demand มันก็ตอบโจทย์แค่โครงสร้างพื้นฐานที่ระบบต่างๆที่มันต้องมีคล้ายๆกัน แต่ถ้าจะพัฒนาระบบที่มันซับซ้อนขึ้น มันก็หนีไม่พ้นการเข้าไปตั้งค่าอะไรต่างๆนาๆ ให้มันมากขึ้นอยู่ดีซึ่งผมว่า Azure Portal ใช้ง่ายจริงแต่บางอย่างมันก็ยังไม่พร้อมครับ