Tags:
Node Thumbnail

Uber แอปบริการแชร์รถโดยสารที่เพิ่งไอพีโอเข้าตลาดหุ้นไปเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา โดยระดมทุนเพิ่มไปได้อีก 8,100 ล้านดอลลาร์ อย่างไรก็ตามวันแรกราคาหุ้นไม่ดีนัก โดยลดจากไอพีโอ 7.6% และเมื่อคืนนี้ก็ลดลงอีกกว่า 10% ถึงแม้จะเริ่มต้นไม่สดใสสำหรับไอพีโอ แต่ที่มูลค่ากิจการล่าสุดกว่า 60,000 ล้านดอลลาร์ ต้องถือว่า Uber เติบโตด้วยมูลค่ากิจการมากทีเดียว

Biz Carson จาก Forbes พาย้อนดูสไลด์ที่ Garrett Camp หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง Uber ได้ Pitch กับบรรดานักลงทุนเมื่อปี 2008 หรือ 11 ปีที่แล้ว ซึ่งน่าจะทำให้เห็นวิสัยทัศน์ของ Uber ตอนนั้น มุมมองในหลายอย่าง ที่แม้แต่ผู้ก่อตั้งก็อาจคิดไม่ถึงว่า Uber จะมาได้ไกลขนาดนี้ และหลายอย่างก็ไม่เป็นตามที่ต้องการ

สไลด์ที่น่าสนใจมีดังนี้

  • Uber เรียกบริการตอนนั้นว่า UberCab (เปลี่ยนมาเหลือแค่ Uber ในปี 2010) ระบุว่าจะเป็นบริการรถยนต์โดยเฉพาะ ซึ่งตอนนี้ Uber มีทั้งจักรยาน สกูตเตอร์ และอื่น ๆ อีกมาก

alt="Uber Pitch 2008"

  • Uber อาจดูเป็นบริการที่มีปัญหากับผู้ให้บริการรถแท็กซี่ท้องถิ่นในทุกประเทศที่ไปทำธุรกิจ ซึ่งก็ไม่แปลก เพราะสไลด์ถัดมาได้ระบุข้อเสียของแท็กซี่ดั้งเดิมแต่แรกเลย

alt="Uber Pitch 2008"

  • คอนเซปต์แรกของ Uber คือเรียกรถสะดวกผ่านแอป และให้บริการที่มีคุณภาพสูง โดยมีรถยนต์และทีมงานคนขับเป็นของตนเอง ซึ่งต่อมาเปลี่ยนเป็น ใครก็มาขับรถได้

alt="Uber Pitch 2008"

  • Uber เคยคิดโมเดลรายได้ แบบที่ต้องสมัครสมาชิกมีค่าใช้จ่ายก่อนใช้บริการ เพื่อยืนยันตัวตนผู้ใช้ ขณะที่การยืนยันการเรียกรถ เดิมจะใช้วิธีให้คนขับและผู้โดยสารส่งรูปใบหน้าหากัน

alt="Uber Pitch 2008"

  • สไลด์ถัดมาระบุว่า เรียกรถแล้วจะมารับภายใน 5 นาที นอกจากนี้รถยนต์ในระบบจะมีแต่รถยนต์หรู Mercedes

alt="Uber Pitch 2008"

  • สไลด์ที่ 7 นั้นน่าสนใจมาก เพราะ Uber บอกว่า บริการดังกล่าวถูกออกแบบมาให้ทำกำไรตั้งแต่ต้นเลย ซึ่งจะเห็นว่าความจริงแล้ว Uber ยังขาดทุนต่อเนื่อง จากค่าใช้จ่ายการตลาดและการลงทุนเทคโนโลยีใหม่ ๆ

alt="Uber Pitch 2008"

  • สไลด์ที่ 18 บอกว่า Uber นั้นอ่านขาดมาแต่แรก โดยประเมินว่า 9% ของการเรียกรถ จะเกิดขึ้นไปและกลับจากสนามบิน ซึ่งปัจจุบันมีจำนวนถึง 15% เลยทีเดียว

alt="Uber Pitch 2008"

  • สไลด์ที่ 19 ระบุแผนขยายเมืองที่รองรับจากช่วงแรกมีเพียง ซานฟรานซิสโก และนิวยอร์ก โดยบอกว่าแผนคือจะทำให้ครอบคลุม 50% ในอเมริกา ซึ่งปัจจุบันทำได้ 100% และมีบริการในอีกหลายประเทศทั่วโลก (รวมทั้งการถือหุ้นทางอ้อมอีก)

alt="Uber Pitch 2008"

ยังมีรายละเอียดอีกมาก ซึ่งทำให้เห็นว่ามุมมองในตอนแรกของธุรกิจนั้น ไม่จำเป็นต้องตายตัว และสามารถปรับจนกลายเป็นธุรกิจขนาดใหญ่หลายหมื่นล้านดอลลาร์ได้

สไลด์ทั้งหมดสามารถดูได้ที่นี่

ที่มา: Forbes

Get latest news from Blognone

Comments

By: panurat2000
ContributorSymbianUbuntuIn Love
on 14 May 2019 - 09:36 #1109639
panurat2000's picture

แต่ที่มูลค่ากิจล่าสุดกว่า 60,000 ล้านดอลลาร์

มูลค่ากิจ ?

By: whitebigbird
Contributor
on 14 May 2019 - 09:38 #1109640
whitebigbird's picture

ในมุมของคนทำธุรกิจ การเป็นเจ้าของบริษัทแบบอูเบอร์ที่เป็นธุรกิจขนาดหลายหมื่นล้าน แต่ขาดทุนต่อเนื่อง แบบนี้มันดี/ไม่ดี หรือว่ามี strategy/vision อะไรยังไงครับ

By: PowerBerry
Android
on 14 May 2019 - 12:09 #1109673 Reply to:1109640

ถ้าเป็นเจ้าของจริงนอนยิ้มอยู่บ้าน ขายทิ้งรับเงินสบายไปทั้งชาติ ถ้ายังมีไฟก็ไปทำอย่างอื่นต่อโดยใช้เครดิตจากธุรกิจเดิม วนลูปไป

By: akira on 14 May 2019 - 14:18 #1109694 Reply to:1109640

มันเป็นเทคนิคครอบงำตลาด เมื่อสามารถครอบงำตลาดได้แล้ว อะไรมันก็จะง่ายขึ้น รวมถึงอำนาจต่อรองกับ Partner ต่างๆ จริงๆ แล้วจะว่าขาดทุนก็ไม่เชิง มันอาจอยู่ในรูปสินทรัพย์ของบริษัท หรือรูปแบบการลงทุนต่อเนื่อง ทำให้ดูขาดทุนอยู่ตลอดเวลา ถ้าเกิดปิดกิจการ ขายสินทรัพย์อาจมีกำไรก็ได้ รวมถึงผู้ลงทุนพวกนี้ พอถึงจุดทำกำไร เขาก็ Exit ลอยตัว ขายบริษัทให้เจ้าอื่นไป อย่าง Uber ก็มีหลายบริษัทสนใจเข้าซื้ออยู่แล้ว โดยเฉพาะบริษัทในอุตสาหกรรมยานยนต์เพื่อเอามาต่อยอดธุรกิจของเขา พอเขาขายบริษัทไป ภาระหนี้สินก็ตกเป็นเจ้าของรายใหม่ ดังนั้นธุรกิจพวกนี้จึงเน้นเร่งขยายตัวเป็นหลัก