สวัสดีครับ
ผมมีคำถามที่ค่อนข้างอยากได้คำตอบอยู่ในระดับนึง เพราะตัวผมเองสนใจเทคโนโลยีตัวนี้และผมมักจะพูดกับพ่อบ่อยๆ(ออกไปในเชิงอวยซะมากกว่า) ว่าถ้าเก็บเงินในระดับนึงจะขอเลือกเป็น รถไฟฟ้า 100% เลยดีกว่า และตอนนี้ตั้งเป้าไว้แล้วว่าต้องการใช้รถไฟฟ้าจริงๆในอนาคต แต่ถ้ามันยังไม่ได้จริงๆก็จะหาทางเลือกอื่นแทน
สิ่งที่ผมสงสัยใหญ่ๆเลยคือ
ส่วนย่อยๆนั้นผมจะถามว่า
ในอีก 5 ปีข้างหน้าในไทยจะมีคนใช้รถยนต์ไฟฟ้าเกิน 10% หรือยังครับ? (แปลว่าจะเกิดหรือไม่เกิดครับ)
ค่า Maintenance ของตัวรถยนต์ไฟฟ้า กับ รถยนต์สันดาป และ รถยนไฮบริด ในระยะยาวถือว่าคุ้มค่าไหมครับ?
หลักๆที่ผมสงสัยก็มีเพียงเท่านี้ครับ ขอบคุณคนที่เข้ามาตอบทุกคอมเมนต์และเข้ามาแชร์ข้อมูลกันครับ
รถยนต์ไฟฟ้า = รถยนต์ที่มี 3 ล้อขึ้นไปที่รวมไปถึงรถกระบะและรถตู้ มีการใช้พลังงานหลักจากไฟฟ้า 100%
ความคิดผมนะ จะเหมาะกับประเทศไทยก็ต่อเมื่อ
เท่านี้หละครับ
ความล้มเหลว คือจุดเริ่มต้นสู่ความหายนะ มีผลกระทบมากกว่าแค่เสียเงิน เวลา อนาคต และทรัพยากรที่เสียไป - จงอย่าล้มเหลว
สุดยอด ใช่เลยครับ
อันนั้นไม่ใช่ว่าเหมาะหรือไม่เหมาะกับไทยอ่ะครับ เรื่องการสนับสนุน และการบังคับใช้กฎหมายมันเป็นเรื่องสากล มันไม่ได้เฉพาะเจาะจงกับไทย
ผมลองเปลี่ยนคำถามให้ดูว่ามันไม่เกี่ยวกับรถไฟฟ้าและเมืองไทยอย่างไร
ผมว่าคำตอบควรจะพูดถึงลักษณะสภาพอากาศที่ส่งผลต่อการทำงานของระบบไฟฟ้าในรถพลังงานไฟฟ้า มากกว่าจะมาพูดถึงเรื่องการบริหารจัดการและการปกครองอ่ะครับ เพราะการบริหารจัดการมันเลี่ยนได้ แต่คุณเปลี่ยนตำแหน่งของประเทศไทย ให้ไปอยู่ไกลจากเส้นศูนย์สูตรไม่ได้ และเปลี่ยนสภาพอากาศเมืองไทยให้ไปอยู่เขตหนาวไม่ได้
ถ้าใช้การพิจารณาแบบนี้กับเมืองไทยเมื่อ 70 - 80 ปีก่อน ผมว่าเราคงยังไม่ได้ใช้รถยนต์เลยมั้งครับ
ผมยังไม่เคยแตะรถไฟฟ้า แต่ผมคิดว่าตอนนี้เหมาะในการใช้งานบางแบบ เช่น
เป็นรถคันที่ 2 ของบ้าน และมีการใช้งานวิ่งในพื้นที่โดยต่อวันไม่ไกลเกิน 120 - 150 กิโลเมตร (ประมาณว่าใช้ทั้งวันโดยไม่ต้องชาร์จ)
ถ้าที่บ้านมี SolarCell On Grid หรือมี OffGrid + Storage จะได้ใช้รถในต้นทุนต่ำกว่าเดิม
เข้าใจว่ารถไฟฟ้าล้วนค่าบำรุงรักษาน้อยมาก เพราะไม่มีระบบหม้อน้ำ น้ำมันเครื่อง (อาจจะมีแค่จารบีหล่อลื่นบางจุด) สายพานถ้ามีก็น่าจะน้อยกว่า ไม่รู้ว่ามีเกียร์ไหม แต่จุดที่เพิ่มจะมี แบตเตอรี่ ซึ่งเข้าใจว่า Spec มันทำงานได้นานกว่า 10 ปี (แบตมันคนละสูตรกับมือถือ/Laptop)
เคยมีคนแซวว่ารถไฟฟ้าเปลี่ยนแค่ใบปัดน้ำฝนกับยาง
แรงต้าน
- ราคายังแพง แต่มันพอหักล้างค่าน้ำมันได้บ้างถ้าที่บ้านมี SolarCell
- ศูนย์ไม่รู้่ว่าพร้อมไหม และมีตัวเลือกจำกัด
- คาดหวังจุดชาร์จไม่ได้ในตอนนี้ แต่ถ้ากระแสติด คิดว่าคงใช้เวลาไม่นาน แต่แอบสงสัยว่าจุดชาร์จรถไฟฟ้า จะอยู่ในปั๊มน้ำมันเดิมได้ไหม หรือต้องห่างออกไป 50 หรือ 100 เมตร
Batt คนละสูตรกับ Laptop?
Laptop ใช้ 18650 มัดก้อน
Tesla ใช้ 18650 มัดก้อนที่แค่ใหญ่กว่า
ก็จริงแฮะ การต่อ อนุกรมที่ใหญ่ขึ้น ผลลัพธ์มันย่อมต่าง
ถึงจะเป็น 18650 เหมือนกันแต่ก็ไม่ได้เท่ากันครับ ส่วนประกอบทางเคมีจะไม่เหมือนกัน
บางสูตรจะได้ความจุที่สูงแต่จ่ายกระแสได้น้อย หรือบางสูตรจ่ายกระแสได้สูงแต่ความจุต่ำกว่า
5 ปีกับ 10% บนท้องถนนน่าจะยังไม่ได้
จะเกิดไม่เกิดสำคัญก็ตรงความคิดของคนนี้แหละ พอได้ยินเป็นรถไฟฟ้ารถไฮบริดมาแล้ว พังง่าย ราคาตก อะไหล่แพง
เหมาะมาก ปัญหาคือไทยไม่มีเทคโนโลยีที่จะผลิตเอง นักลงทุนไม่กล้าลงทุน รถไฟฟ้าจึงไม่น่าจะเกิดได้ง่ายๆ
เคยอ่านมาจากกระทู้หนึ่งเค้าว่าอากาศร้อนอาจทำให้รถไฟฟ้าไม่ได้เกิดในไทยแล้วเราก็ยังต้องใช้รถน้ำมันต่อไป
อากาศร้อนทำให้แบตเสื่อมไวกว่ารอบที่กำหนดอาจทำให้มันไม่คุ้มค่าเปลี่ยนแบต
ตรงจุดนี้ละครับที่ผมกังวลว่ามันเหมาะไหมด้วยสภาพอากาศของเรากับประเทศอื่นที่จำหน่ายเป็นทางการก็ต่างกันอยู่
Mekokung's Story บล็อกส่วนตัวที่ย้ายไป Blogger แล้วนะ
แล้วอากาศหนาวระดับหิมะตกจะทำให้แบตเสื่อมด้วยหรือเปล่าครับ
กำลังสร้างโรงงานที่ บางปะกง
ถึง 10% ใน 5 ปีคงไม่ถึงครับ เพราะมันแพงและการใช้งานบางอย่างจำกัดกว่าด้วยระยะทาง, สถานที่ชาร์จและระยะเวลาชาร์จ (การเดินทางจะต้อง plan มากกว่า แต่สำหรับการใช้งานระยะไม่ไกล หรืองาน routine น่าจะเหมาะ)
ในอเมริกาที่เห็นว่าราคาล้านต้นๆ แต่อเมริกาเอง Camry เค้าไม่ถึงล้านเลย บ้านเราขาย Camry อยู่ 1.5-1.8 ล้าน และบ้านเราใช้กระบะเยอะ ซึ่งยังไม่มีขายแบบ EV จริงจัง ในอีก 5 ปีถึงมีขายก็คงมีจำกัด ถ้าจะให้ถึง 10% ได้นี่ต้องมาตีในตลาด city car ในราคา city car ให้ได้ และตลาดกระบะ
อคติทำให้คนรับเหตุผลด้านเดียว
ผมก็อยากได้นะ เมื่อสามสี่ปีก่อนก็คิดอยากได้ และคิดว่าเทคโนโลยีคงจะเปลี่ยนเร็วกว่านี้ แต่มาตอนนี้ก็คิดอยู่ว่า 5 ปีถัดไปมันจะไปถึงไหน
ถ้าถาม ณ ตอนนี้ ผมไม่คิดว่ามันเหมาะกับไทย เพราะแบตยังน้อยอยู่ (รุ่นแบตเยอะก็แพงระยับ) สถานีชาร์จมีน้อย ดังนั้นถ้าจะซื้อมา ต้องเอาไว้ใช้ระยะใกล้ ๆ เท่านั้น ซึ่งผมเดาเอาว่าคนไทยส่วนใหญ่น่าจะซื้อมากะใช้ขับไปไกล ๆ (อย่างน้อย ๆ ก็ขับเที่ยวช่วงวันหยุด) ซึ่งผมก็เป็นหนึ่งในนั้น แถมเรื่องอะไหล่ก็ยังมีปัญหา ผู้ผลิตในไทยยังปรับตัวไม่ทัน (หรือไม่ยอมปรับตัวก็ไม่ทราบได้) ไม่ค่อยมีอะไหล่รองรับแน่ ๆ
ถ้าถามว่าอีก 5 ปีล่ะเหมาะไหม? อันนี้ต้องลุ้นต่อไปครับ ผมว่าก็มีแนวโน้มที่ดีขึ้นแน่ ๆ แต่ไม่รู้จะดีขึ้นแค่ไหน หลัก ๆ ก็รอให้แบตมันอึดขึ้นในราคาที่เอื้อมถึงได้นี่แหละ (ส่วนเรื่อง 10% เนี่ย ฟันธงว่าไม่ถึงแน่ ๆ 5% ก็หรูแล้วครับ)
เทคโนโลยีไม่ผิด คนใช้มันในทางที่ผิดนั่นแหละที่ผิด!?!
ตอนนี้ยังไม่เหมาะครับ แต่อนาคตยังไงก็เหมาะเพราะทิศทางทั่วโลกมันบังคับ
รถไฟฟ้าต้องพึ่งปัจจัยหลายอย่างและกระทบกับหลายฝ่าย
ทั้งบ.ผลิตน้ำมันที่จะกระทบ บ.ผลิตไฟฟ้าจะพึ่งการไฟฟ้าเจ้าเดียวคงเป็นไปไม่ได้ แท่นชาร์จที่ต้องติดตามบ้านทุกบ้านและอีกหลายที่
กฎหมายยังไม่พร้อมรองรับและพฤติกรรมของคนไทยยังไม่ได้
ไทย..
1.อากาศร้อน -แบต
2.รัฐบาล-ไม่แน่นอน , ไม่เป็นเจ้าภาพ
3.กฎหมาย-ไม่แน่นอน
4.สิ่งแวดล้อม-แบต
5.ควรเน้นส่งออก
ตรงข้อ 5 นี้ผมขอความรู้เพิ่มเติมครับว่าทำไมครับ?
Mekokung's Story บล็อกส่วนตัวที่ย้ายไป Blogger แล้วนะ
อเมริกาหลายเมืองก็ร้อนนะครับ และแบตมันเย็นกว่าพวกเครื่องยนต์อีก เครื่องยนต์ก็ใช้ในเมืองหนาวก่อน ก็ปรับให้มาใช้ในเมืองร้อนได้ ประสิทธิภาพคงไม่เท่าเมืองหนาวแต่ไม่น่าใช่ปัญหาใหญ่นะครับ บ้านเรา hybrid, plug in hybrid เต็มถนน
อคติทำให้คนรับเหตุผลด้านเดียว
ด้วยเทคโนโลยีแบตปัจจุบัน เมืองไทยยังไม่ค่อยเหมาะครับ
งั้นแสดงว่าแบตเตอร์รี่ในรถในตอนนี้มันไม่เหมาะกับอากาศร้อนอย่างที่ว่ากันมาใช่ไหมครับ? หรือว่ามันมีปัจจัยอื่นๆนอกจากเรื่องความร้อนอีก
Mekokung's Story บล็อกส่วนตัวที่ย้ายไป Blogger แล้วนะ
ความร้อนนี่ล่ะครับ แต่กำลังจะมีเจน2ล่ะ อ่านพวกเปเปอร์รีวิวได้ครับ
ผมเห็น owner manual ของ Tesla แนะนำว่า
Temperature Limits
For better long-term performance, avoid
exposing Model 3 to ambient temperatures
above 140° F (60° C) or below -22° F (-30° C)
for more than 24 hours at a time.
งี้เมืองไทยก็น่าจะโอเค?
ผมลองอ่านแล้วมันคือความร้อนสะสมหรือเปล่า เพราะผมเข้าใจจาก context ว่าสูงเท่านี้ ต่ำเท่านี้เป็นเวลา 24 ชั่วโมงอาจทำให้แบตมีปัญหาหรือระเบิดได้
Mekokung's Story บล็อกส่วนตัวที่ย้ายไป Blogger แล้วนะ
exposing to ambient temperatures แปลว่า สัมผัสกับอุณหภูมิแวดล้อม ครับ และการควบคุมอุณหภูมิภายในแบตเตอร์รี่จากการทำงานก็เป็นเป็นหน้าที่ของผู้ผลิตครับ เพราะงั้นจึงไม่มีเหตุผลที่จะเอามาใส่ไว้ในคู่มือการใช้งาน
อ๋ออย่างงี้เอง ขอบคุณครับ
Mekokung's Story บล็อกส่วนตัวที่ย้ายไป Blogger แล้วนะ
สำหรับผมตอนนี้ ปัญหาอย่างเดียวคือ battery ครับ
ถ้าซื้อเพราะเป็นรถที่ชอบ รถในฝัน อันนี้ผมว่าซื้อได้ เห็นนอร์เวย์ช่วงแรกๆไม่มีสถานีชาร์จ คนก็ยังซื้อ Tesla กัน แล้วก็ต้องชาร์จกันเป็นชั่วโมง ก็ยังทนกันไป
ถ้าซื้อใช้ในเมือง ซื้อได้ พวก Ioniq ระยะก็สบายๆ รุ่นใหม่ก็วิ่งไกลขึ้น ชาร์จที่บ้าน เช้ามาก็ขับต่อ
ถ้าเอามาแทนรถน้ำมัน จะออกต่างจังหวัด ผมว่ายังยาก ยกเว้นต้องวางแผนดีๆ เห็นมีสถานีชาร์จประปราย แต่จะลำบาก ต้องถามว่าทนได้มั้ย เห็นที่พักบางที่มีที่ชาร์จให้ด้วย
สำหรับผมแล้วถ้ามอง ณ ตอนนี้ ยังไม่เหมาะครับ เพราะเรายังไม่สามารถพัฒนาเทคโนโลยีของเราเองได้ เช่น แบตเตอรี่รถ กลไกลของรถถ้าเกิดพังขึ้นมา แผนวงจรระบบไฟฟ้า จุดการให้บริการการชาร์ทแบตเตอรี่ การซ่อมบำรุง ถ้าเรายังไม่มีความรู้ตรงนี้ สุดท้ายเราก็ต้องพึ่งคนอื่น จะทำให้เกิดผลเสียมากกว่าผลดีครับ
ผมว่าถ้าค่าไฟบ้านเรายังแพงขนาดนี้ก็ยังยากครับ พลังงานไฟฟ้าบ้านเราค่อนข้างไม่มั่นคง ต้องซื้อจากหลายที่ หากอนุมัติให้มีโรงนิวเคลียร์ได้ตรงนั้นผมว่าน่าจะมีความเป็นไปได้ครับ
อันนี้ถือว่าเป็นสิ่งที่ผมรับรู้ใหม่เลยครับเรื่องการสร้างโรงงานนิวเคลียร์ ขอบคุณมากครับ
Mekokung's Story บล็อกส่วนตัวที่ย้ายไป Blogger แล้วนะ
จริงๆค่าไฟบ้านเรา ไม่ได้แพงเท่าไหร่นะครับ เทียบกับประเทศอื่น แพงกว่าบ้านเราอีกนะ
หลักๆ คงไม่ได้จะบอกว่าค่าไฟแพงครับ แต่คงจะสื่อว่าค่าไฟแพงเพราะเราผลิตเองได้ไม่พอใช้งาน ทำให้อุปสงอุปทานไม่สมดุลย์ ราคาจึงแพง
และการที่เราผลิตเองได้ไม่พอ หมายความว่าแหล่งพลังงานไฟฟ้าเรายังไม่มั่นคง และเมื่อแหล่งพลังงานไฟฟ้ายังไม่มั่นคง มันจะส่งผลไม่ทางตรงก็ทางอ้อมต่อรถที่ใช้พลังงานไฟฟ้า 100% แน่นอนครับ เช่น สถานีชาร์จพลังงานไม่พอ ชาร์จไม่ได้ หรือพลังงานไม่พอทำให้เพิ่มจำนวนสถานีชาร์จไม่ได้ ฯลฯ
การจะใช้รถในเชิงปฏิบัติต้องขับได้ทั่วประเทศ จะให้มีสถานีชาร์จแค่กรุงเทพและเมืองใหญ่ๆ คงเป็นไปได้ยากในทางปฏิบัติครับ
+1