Tags:
Node Thumbnail

ในแต่ละปี โลกไอทีเกิดการเปลี่ยนแปลงค่อนข้างมาก ปี 2019 นี้ก็น่าจะเช่นกัน โดยเฉพาเทคโนโลยีใหม่ที่เริ่มออกมาให้เห็นตั้งแต่ปีที่แล้วอย่าง 5G หรือรถยนต์ไร้คนขับ หลายคนอาจสงสัยว่ามันจะมาในปีนี้แล้วจริงๆ ใช่ไหม ไปจนถึงสภาพการณ์อื่นๆ บนโลกไอทีอาทิ สมาร์ทโฟนระยะหลังๆ ซบเซาลง ปีนี้จะกลับมาได้ไหม, Facebook ที่ปีก่อนเผชิญมรสุมทั้งปี ปีนี้จะเป็นยังไง, สตรีมมิ่ง Disney+จะเปิดตัวในปีนี้ Netflix จะเป็นยังไง

Blognone จะวิเคราะห์ประเด็นทั้งหมดในบทความนี้ครับ

No Description

ตลาดสมาร์ทโฟนยังโตช้า มีเทคโนโลยีใหม่แต่ไม่ว้าว

หากถามความรู้สึก เชื่อว่าหลายๆ คนน่าจะรู้สึกว่าสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ๆ หมดความว้าวมาหลายปีแล้ว ส่วนหนึ่งก็เพราะนวัตกรรมบทสมาร์ทโฟนที่ออกมาเริ่มลดน้อยลงหรือไม่ใช่นวัตกรรมใหม่ๆ ที่พลิกโฉมหน้าการใช้งานไปเลย

ภาพสะท้อนของความรู้สึกดังกล่าวก็ปรากฎออกมาในแง่การเติบโตของยอดขายสมาร์ทโฟนทั่วโลกเช่นกัน ที่นับตั้งแต่ปี 2012 เป็นต้นมา แม้ตัวเลขส่งมอบจะสูงขึ้นเรื่อยๆ (จากปัจจัยอย่างกลุ่ม Emerging Market หรือตลาดจีน เป็นต้น) อัตราการเติบโตค่อยๆ ลดลงเรื่อยๆ ในแต่ละปีจากการเติบโตที่ 62.3% ในปี 2011 ลงมาเหลือ 2.2% ในปี 2016 ก่อนติดลบเป็นครั้งแรกในปีถัดมาแถมติดลบต่อเนื่องเมื่อ 2018

No Description

ปัจจัยสำคัญก็คือเริ่มมีคนเข้าถึงสมาร์ทโฟนมากขึ้นเรื่อยๆ จำนวนผู้ที่ซื้อสมาร์ทโฟนเครื่องแรกเริ่มลดลง และความถี่ในการเปลี่ยนเครื่องใหม่ก็เริ่มนานมากขึ้น จากราคาที่สูงขึ้นเรื่อยๆ กอปรกับฟีเจอร์รุ่นใหม่ๆ ไม่ว้าวเพียงพอให้เปลี่ยน

ปัจจัยดังกล่าวจะยังคงอยู่ต่อไปเช่นเดิมในปี 2019 ทั้งในแง่เทคโนโลยีใหม่ ที่ไม่คุ้มค่าให้เปลี่ยน อาทิ สมาร์ทโฟนพับได้ที่น่าจะเริ่มออกสู่ตลาดมากขึ้น แต่ดูยังหาจุดสมดุลระหว่างความหนาตอนใช้เป็นสมาร์ทโฟนและความจำเป็นที่ต้องซื้อมาใช้เป็นแท็บเล็ตไม่ได้ (ซื้อแท็บเล็ตแยกไปเลยน่าจะเหมาะกว่า) ไปจนถึงราคาที่จะแพงขึ้นไปอีกจากการวิเคราะห์ของ IDC ที่มองว่าส่วนหนึ่งจะมาจากต้นทุนชิ้นส่วนต่างๆ ที่จะเพิ่มขึ้น

5G ยังไม่มา

ปีที่ผ่านมาโอเปอเรเตอร์หลายๆ เจ้ารวมถึงในไทยเริ่มพูดถึงเทคโนโลยี 5G กันแล้ว โดยเครือข่าย 5G ไม่ได้มีแค่ความเร็วของการใช้งานดาต้าที่มากขึ้นจาก 4G แต่เพียงอย่างเดียว แต่ยังมีเรื่องของความหน่วง (latency) ที่ต่ำ ซึ่งจะช่วยขยายของเขตการใช้งานอุปกรณ์ IoT ในรูปแบบต่างๆ มากยิ่งขึ้น

No Description

อย่างไรก็ตามปัญหาของการนำ 5G มาใช้งานจริงยังอยู่ที่เรื่องของกฎหมาย การจัดสรรคลื่น อุปกรณ์สมาร์ทโฟนหรือ IoT ที่ยังไม่พร้อม และการติดตั้งโครงสร้างพื้นฐานเพิ่มเติมซึ่งไม่มีทางที่ทุกอย่างจะลงตัวในปีนี้ อย่างเร็วก็น่าจะปี 2020 ดังนั้นตลอดปีนี้ เทคโนโลยี 5G ที่เราจะได้เห็นน่าจะเป็นแค่ประเด็นทางการตลาดเท่านั้น อย่างที่เห็นได้ชัดคือกรณีของ AT&T ที่เปลี่ยนไอคอน LTE ของตัวเองให้เป็น 5G ลักษณะเดียวกับช่วงเปลี่ยนผ่านจาก 3G ไป 4G ที่มีการแสดงไอคอน LTE ทั้งๆ ที่เทคโนโลยีที่ใช้เป็นแค่ HSPA+ หรือ WiMA

Facebook ยังเจอมรสุมต่อไป

ปีที่แล้วนับเป็นปีที่หนักหนาสำหรับ Facebook ไล่ไปตั้งแต่ Cambridge Analytica ตั้งแต่ต้นปี จนผู้บริหารระดับสูงถูกเรียกตัวให้การต่อสภา, ประเด็นการจัดการข่าวปลอม, การจ้างล็อบบี้ยิสต์ขุดข้อมูลคู่แข่งและคนที่ต่อต้าน Facebook, ความไม่พอใจของพนักงานภายใน และปิดท้ายด้วยบั๊กทำข้อมูลรูปภาพหลุดท้ายปี

ข่าวฉาวหลักๆ ของ Facebook เกี่ยวข้องกับข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ ซึ่งสร้างความไม่พอใจเป็นวงกว้างจนหลายคนสูญเสียความเชื่อมั่นและเกิดกระแส #DeleteFacebook ออกมา แต่ถึงกระนั้นด้วยความนิยมและการผูกขาดแพลตฟอร์ม ทำให้การเลิกเล่น Facebook แบบเด็ดขาดยังคงทำได้ยาก ด้วยช่องทางการติดต่อและเพื่อนฝูงส่วนใหญ่ล้วนอยู่บนนี้หมด

ในปีนี้ Facebook จะยังพยายามแก้ปัญหาเรื่องความเชื่อมั่นด้านความเป็นส่วนตัวของข้อมูลต่อไป ไม่ว่าจะในแง่เทคนิค อย่างการปรับลดสิทธิให้แอปภายนอกเข้าถึงข้อมูลต่างๆ บนโปรไฟล์ได้น้อยลง ไปจนถึงเชิงนโยบายอย่างการจ้างที่ปรึกษาด้านความเป็นส่วนตัวของข้อมูล 3 คน ซึ่งทั้ง 3 อยู่ในแวดวงนี้มานานและเคยออกมาวิจารณ์ Facebook ด้วย แสดงถึงความเปิดกว้างของ Facebook ที่มากขึ้นกว่าเดิม

แต่ตราบใดโมเดลธุรกิจและการหาเงินของ Facebook อิงอยู่กับการโฆษณาผ่านข้อมูลของผู้ใช้เป็นหลัก ประเด็นเรื่องข้อมูลหลุดและความน่าเชื่อถือของ Facebook ก็จะยังคงมีออกมาเรื่อยๆ หรือจนกว่าจะมีผู้ให้บริการรายใหม่ที่สามารถทดแทนได้

รถไร้คนขับยังจับต้องไม่ได้

จนถึงตอนนี้มีเพียง Waymo บริษัทในเครือ Alphabet เจ้าเดียวที่นำรถยนต์ไร้คนขับมาให้บริการจริงในเชิงพาณิชย์ในรัฐแอริโซนาโดย Waymo เป็นเจ้าแรกๆ ที่พัฒนาเทคโนโลยีด้านนี้ รวมถึงมีจำนวนเส้นทางที่ทดสอบวิ่งมากที่สุด เป็นระยะทางจริงกว่า 10 ล้านไมล์ และอีกกว่า 7 พันล้านไมล์ในระบบจำลอง

ส่วนปีนี้บริษัทที่มีแนวโน้มจะตาม Waymo มาก็คงหนีไม่พ้น Cruise ของ GM ถูกมองว่าเป็นรองเพียง Waymo เท่านั้น ซึ่ง GM ก็ประกาศจะเริ่มให้บริการในปีนี้เช่นกัน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นการให้บริการจริงของทั้ง Waymo และ GM ก็จะยังคงอยู่ในสเกลเล็กๆ เฉพาะบางพื้นที่เท่านั้น เพราะติดทั้งในแง่ข้อกฎหมายและความเชื่อมั่นของคนต่อรถไร้คนขับ ซึ่งก็มีโอกาสจะนำไปสู่ปัญหาใหม่ๆ ที่เกินคาดและต้องตามแก้ อย่างกรณีที่รถยนต์ของ Waymo ถูกคนแกล้งหรือปาหินใส่ การที่เราจะเห็น Waymo เปิดบริการทั่วไปจึงเป็นไปได้ยากในตอนนี้ เพราะมีปัจจัยนอกเหนือจากเรื่องเทคโนโลยี ที่ Waymo ควบคุมไม่ได้อีกมาก

ขณะที่บริษัทอื่นๆ ที่พัฒนารถไร้คนขับ อาทิ Ford, Volvo, Volkswagen ล้วนแต่บอกว่าน่าจะพร้อมนำออกมาวิ่งจริงก็ราวปี 2021, 2022 กันทั้งสิ้น ดังนั้นในช่วง 2-3 ปีจากนี้น่าจะเป็นช่วงลองผิดลองถูกเรื่องโมเดลในการทำเงินของ Waymo และ GM ไปก่อน ขณะที่ตัวรถไร้คนขับน่าจะยังเป็นแค่ของเล่นในบางพื้นที่ต่อไปอีกหลายปีเช่นกัน

Begin, the streaming wars will

พูดถึงสตรีมมิ่ง หลายๆ คนก็น่าจะนึกถึง Netflix เป็นตัวเลือกแรก (หรือตัวเลือกเดียว?) และในปีนี้ Netflix กำลังจะเจอกับคู่แข่งรายใหญ่เจ้าใหม่คือ Disney+ ที่หนาทั้งเงินทุนและคอนเทนท์ เรียกได้ว่าเป็นคู่แข่งที่สมน้ำสมเนื้อและน่าจะท้าชิงเวลาบนหน้าจอไปจาก Netflix ได้อีกมาก (จากเดิมแค่เวลานอนและ YouTube ก็ทำ Netflix เหนื่อยแล้วในแง่การช่วงชิงเวลา)

จุดแข็งสำคัญที่ผู้ให้บริการสตรีมมิ่งพยายามสร้างมาโดยตลอดคือคอนเทนท์ออริจินัล อย่าง Netflix ก็ลงทุนด้านนี้ค่อนข้างเยอะและทำมาโดยตลอด ส่วน Disney+ ก็มีรายงานการสร้างซีรีส์ออริจินัลจากตัวละครลิขสิทธิ์ดังๆ ในมือ อาทิ Clone War ซีซัน 7, Mandalorian จาก Star Wars และซีรีส์ Loki, Scarlet Witch จาก Marvel เพื่อดึงลูกค้าให้มาอยู่บนแพลตฟอร์มให้ได้มากที่สุด

No Description

แน่นอนว่า Netflix ก็น่าจะต้องทุ่มเงินด้านการตลาดมากขึ้น เพื่อดึงลูกค้าใหม่และรักษาลูกค้าเก่า หลังจากปีที่ผ่านมา Netflix เพิ่มงบด้านการตลาดจากปี 2017 ราว 65% (สังเกตไหมว่าโฆษณา Netflix ปีที่แล้วเล่นใหญ่เยอะมาก) ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าปีนี้ Netflix จะทุ่มงบด้านการตลาดเพิ่มขึ้นราว 22%

อย่างไรก็ตามในกรณีนี้ใช่ว่าผู้บริโภคมีทางเลือกมากแล้วจะดีไปเสียทุกอย่าง เพราะผลกระทบน่าจะเกิดขึ้นกับกระเป๋าเงินแน่ๆ หากติดซีรีส์จากทั้ง 2 แพลตฟอร์ม หรืออาจจะต้องเลือกดูสลับเดือนกันก็เป็นได้

สุดท้ายหากคุณต้องเลือกดูเจ้าใดเจ้าหนึ่ง โดยพิจารณาจากคอนเทนท์ในปัจจุบัน คุณจะเลือกเป็นสมาชิก Netflix หรือ Disney+ ครับ

Get latest news from Blognone

Comments

By: ravipon
iPhoneWindows
on 9 February 2019 - 11:32 #1095825
ravipon's picture

5G เหมือนโอเปอเรเตอร์เริ่มรู้ตัวว่ามันอาจจะไม่ได้สร้างกำไรมากเหมือนตอนเปลี่ยน 2G>>>3G กันแล้ว กิจกรรมบางอย่างที่เอามาโปรโมท ๆ กันเอาจริง ๆ ก็แทนได้ด้วยอย่างอื่นที่ไม่ใช่ Mobile Internet ก็ได้

สตรีมมิ่ง เราว่ายิ่งหลายเจ้ายิ่งไม่ดี แอปเปิลก็จะลงมาเล่น ดิสนี่ย์ก็จะมาเล่น เราว่าทำไมเค้าไม่รวมเงินกันแล้วซื้อ Netflix ไปเลยแล้วรับผลตอบแทนในแง่ของเงินปันผล/ค่าลิขสิทธิ์แทน

By: zyzzyva
Blackberry
on 9 February 2019 - 13:56 #1095854 Reply to:1095825

ผมกำลังคิดอยู่ว่าลงมาเล่นกันหลายๆเจ้าเพื่อทำลายวงการสตรีมมิ่งรึเปล่า บริษัทที่เดือดร้อนสุดคือบริษัทที่สตรีมมิ่งเป็นหลัก

By: -Rookies-
ContributorAndroidWindowsIn Love
on 9 February 2019 - 12:00 #1095829

ไม่พูดถึงเทสล่าเลยแฮะ


เทคโนโลยีไม่ผิด คนใช้มันในทางที่ผิดนั่นแหละที่ผิด!?!

By: tom789
Windows Phone
on 9 February 2019 - 12:41 #1095840

iot น่าจะมาแรงนะ

By: 7
Android
on 10 February 2019 - 03:39 #1095933
7's picture

อาจจะแบ่ง acc กับเพื่อน สมัครคนละเจ้า แล้วแบ่งกันดู

By: tekkasit
ContributorAndroidWindowsIn Love
on 12 February 2019 - 08:14 #1096179
tekkasit's picture

คุณจะเลือกเป็นสมาชิก Netflix หรือ Display+ ครับ