ร่างพรก.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากรสำหรับการเก็บภาษีเงินได้จากเงินคริปโตและโทเคนดิจิทัล ผ่านความเห็นชอบครม. ตั้งแต่เดือนมีนาคมที่ผ่านมา ตอนนี้ก็ประกาศเข้าราชกิจจานุเบกษาเรียบร้อยแล้ว นับเป็นกฎหมายโดยตรงสำหรับเงินคริปโตฉบับแรก
ใจความสำคัญคือการสั่งเก็บภาษีหัก ณ ที่จ่ายตามมาตรา 50 ของประมวลรัษฎากร ให้หักไว้ที่ 15% ของกำไร และกำไรทั้งหมดก็ยังเป็นรายได้พึงประเมินตามมาตรา 40 ของประมวลรัษฎากร
ประกาศเข้าสู่ราชกิจจาจุเบกษาในวันนี้ และให้มีผลบังคับในวันพรุ่งนี้ทันที
ที่มา - ราชกิจจานุเบกษา
Comments
ห๊ะ
15% นี่ก็มากไปหน่อยนะ น่าจะสัก 5-10% กำลังดี เพราะไม่ต้องทำตามกฎอะไรมาก แถมยืดหยุ่นกว่าการค้าขายหุ้นอีก
แล้วก็ภาษีก็อยากให้เอาไปใช้อย่างคุ้มค่า ไม่ใช่เอาไปทิ้งกับผลงานหรือโครงการไร้ประโยชน์ แถมเก็บตั้งหลายอย่างตั้งแต่ VAT ไปจนถึงภาษีนำเข้าศุลกากร พูดตรงๆว่าเก็บไปเยอะมาก แต่ได้ผลลัพธ์หรือผลตอบแทนกลับมาห่วยกว่าเดิม
เพราะแบบนี้ไง คนถึงเกลียดรัฐบาลและเกลียดการขูดรีดภาษีจากประชาชนแบบนี้
ความล้มเหลว คือจุดเริ่มต้นสู่ความหายนะ มีผลกระทบมากกว่าแค่เสียเงิน เวลา อนาคต และทรัพยากรที่เสียไป - จงอย่าล้มเหลว
15% หัก ณ ที่จ่าย คือสามารถเอาไปคิดกับภาษีเงินได้ตอนสิ้นปี ถ้าฐานภาษีอยู่ที่ 5% ก็จะได้ 10% คืนครับ
สงสัยเล่นๆ ผมยังเรียน มหาลัย อยู่ คงไม่ได้คืนสินะครับ เพราะไม่มีงาน
เมื่อมีเงินได้ก็ถือว่าเป็นผู้เสียภาษีแล้วครับ คิดว่าน่าจะยื่นแบบขอคืนได้เลย แต่อาจต้องทำบัญชีประกอบการส่งรายได้ด้วยนะ
สามารถยื่นได้ครับ ถ้าหากหักลดหย่อนแล้วฐานภาษีไม่ถึง ก็สามารถได้คืนทั้งหมดได้ครับ
ขอบคุณทุกท่านมากครับ
ไม่อยากเสียภาษีก็อย่าใช้พลังงานไฟฟ้าของประเทศไทยไปกอบโกยหาเงินดิจิตอลเข้าตัว
ไปหาทางสร้างพลังงานช่องทางอื่นมาใช้ทดแทนโดยที่ไม่ต้องเบียดเบียนคนที่ใช้พลังงานอย่างพอดี และ "ทำให้มีคนที่ขาดแคลนพลังงานไฟฟ้าใช้ ยังมีกลุ่มคนที่ห่างไกลไฟฟ้าเข้าไม่ถึง"
จีนเขายังควบคุม ไม่ให้ทำ อยากทำก็บังคับให้หาแหล่งไฟฟ้าให้เพียงพอตามลิ้งค์ด้านล่างจากรายการคุณ สุทธิชัย หยุ่น
Suthichai Live: เหมือง Bitcoin ใหญ่ที่สุดในโลก! | 16/3/2561 -> https://www.youtube.com/watch?v=vlIgia3BuRk&t=8s
ผมเองก็ไม่ได้ชอบทุกอย่างที่รัฐบาลปฎิบัติ แต่การออกกฏเพื่อควบคุมความไม่แน่นอนความเสี่ยงนี่ถูกต้องแน่ๆ
ถึงได้มีการออกร่างให้ธนาคารส่งข้อมูลบัญชีเพื่อตรวจสอบการเงินด้วยหรือ ซื้อขายเงินตราดิจิตอลกันเข้าๆออกๆกันตลอด ไม่อยากเสียภาษีก็หอบเงินไปแลกเป็นสกุลต่างชาติให้หมด หิ้วตัวเองไปอยู่ต่างประเทศขอโอนสัญชาติอื่นไปเลย
คนขุดทุกคนเขาก็จ่ายค่าไฟนี่ครับ
เรื่องไฟเข้าไม่ถึงคงต้องโทษการไฟฟ้า
เรื่องพลังงานไม่พอ ลองถามพวก โง่ (NGO) สิว่าเขาอยากได้โรงไฟฟ้าไหม
ผมยินดีให้สร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียข้างบ้านผมเลย
คนมักจะบอกว่ายินดีให้สร้างโรงงานนิวเคลียร์ข้างบ้านเพื่อเป็นการแสดงออกว่าสนับสนุนเต็มที่
แต่เวลามันเกิดอุบัติเหตุขึ้นมา มันไม่ได้อยู่แค่ข้างบ้านคุณน่ะสิครับ
ผมก็อยากให้สร้าง แต่อย่างญี่ปุ่น impact range มันคือ 20 กิโลเมตรรอบโรงงาน หรือ 30 กิโลเมตรของเชอร์โนบิล
ถ้าจะใช้วิธีคิดอย่างนี้หมายความว่าค่าไฟจะต้องขายที่ราคาเดียวกันหมดทุกคนเท่าเทียมกัน อยากใช้ก็ต้องจ่าย แต่ความจริงแล้วค่าไฟก็มีการแบ่งประเภทว่าเอาไปใช้ทำอะไรขายที่ราคาต่างกัน ถ้าเอาไปใช้ทำธุรกิจก็จะโดนอัตรานึงเพราะถือว่าเอาไปทำเงินมีปัญญาจ่ายได้ต้องยอมจ่ายแพงหน่อยเพื่อเอาไปชดเชยบ้านพักอาศัยธรรมดาที่ไม่ได้ใช้หาเงิน ถ้าจะบอกว่าก็จ่ายค่าไฟแล้วจะเอาไปทำอะไรก็ได้คนธรรมดาจำนวนมากก็จะไม่มีไฟใช้เพราะสู้ราคาไม่ไหวเพราะโรงงานโรงแรมเค้ายอมจ่ายแพงกว่า
หุ้นนี่มีการเก็บภาษีจากบริษัทไปแล้วนะครับ มาตรฐานก็ 25% คนถือหุ้นได้ปันผลเพราะเป็นเจ้าของบริษัท
ในขณะที่ crypto อย่าง bitcoin ether ฯลฯ ซื้อขายกันไม่มีบริษัทไหนจ่ายภาษีให้ไทย และคนเล่น ico หรือ crypto ไม่ได้มีส่วนได้เสียในบริษัทนะครับ แค่ไปเก็งกำไร กับ "บ่อน" ที่บริษัทเปิดให้เล่น
ที่่จริงผมแปลกใจมาก คนดัง ๆ ที่โพสต่อต้านการเก็บภาษีนี่ สมัยคนที่คุณก็รู้ว่าใครจ่ายภาษีขายบริษัทให้สิงคโปร์ไม่ครบ ก็ออกมาต่อต้านกัน แต่พอรัฐจะเก็บภาษีจากสิ่งที่ตัวเองถือ ก็ต่อต้านอีกเหมือนกัน สองมาตรฐาน?
คือยังไงมันก็ไม่สามารถถูกใจคนทุกคนได้อยู่แล้ว
กฎหมายภาษีคลอดหยุมหยิมไปหมดเห็นด้วยเรื่องเดียวคงค้าขายออนไลน์นี่หละ
แต่มีลักษณะการซื้อขายเหมือนหุ้น แถมยังเอาไปใช้จับจ่ายซื้อของได้อีก
อีกอย่างผมมองว่ามันยังควบคุมภาษีได้ไม่ดีพอต้องบีบให้ใช้น้อยๆบีบกลับมาให้
เป็นเงินในระบบปรกติซึ่งสามารถจัดการควบคุมได้มากกว่า
ถ้าขาดทุนไม่ต้องเสีย 15% สินะครับ
แต่มันโดนหัก ณที่จ่ายนะครับ ถ้าจะเอาคืนสงสัยต้องเอาหลักฐานไปยื่นยาวเลย ไม่ก็ต้องจดนิติบุคคลแล้วใช้นามนิติบุคคลเทรด ก็คงง่ายขึ้นหน่อย
เอาไปคิดเหมือนเครดิตภาษีของหุ้นนะหรอครับ?
ตลาดน่าจะคิดมาให้หมดแล้วนะ ว่าใคร กำไร หรือขาดทุน
ตามปรกติน่าจะโดนหักทันทีที่ถอนออกมั้ง 15% เพราะเป็นการหัก ณ ที่จ่าย
แล้วถ้าขาดทุนต้องเอาเอกสารหลักฐานไปยื่นขอคืนภาษีเอง
แต่ทั้งนั้นทั้งนั้นต้องลองดูพรุ่งนี้อีกทีว่าเว็ปเทรดจะหักตอนถอนไปเลยหรือเปล่า
กำไรกองทุนหัก 10% นี่ซัดไป 15% เลยลวกเพี่ยยย
เวลาเก็บจริงไม่รู็เป็นไง ถ้าหักอัตโนมัติทุกการขาย 15% ไม่ใช่หักเวลาถอนล่ะก็บันเทิง
แต่แน่นอนว่าสงสัยจะได้เวลาคืนการ์ดจอให้ตลาดเกมแล้วล่ะมั้ง สายขุดที่ตอนนี้แทบไม่พอจ่ายค่าไฟ
โดนภาษีอีก 15%... สงสัยได้มีการปล่อยการ์ดจอมือสองกันรัวๆ
บอสรายใหญ่ๆ ก็ไปซื้อขายเว็บต่างประเทศกันเยอะแล้วนะครับ การซื้อขายต่อวันน้อยลงมากครับ
รายย่อยที่ยังซื้อขายผ่านเว็บไทย ก็คงต้องใช้วิธีซื้อขายแลกเปลี่ยนเป็นเหรียญอื่นๆ แทนเงินบาทครับ
คือให้ซื้อขายด้วย Crypto โดยตรงโดยไม่ต้องพึ่ง Exchange
ถ้าจะ Exchange ควร Exchange จากสกุลเงินอื่นใช่ไหม
สายขุดนี่แย่เลยใช่ไหมครับ คือ ขุดมาขายแล้วถอนออกเพื่อจ่ายค่าไฟ โดน 15%
แล้วตอนขอคืนภาษีจะเอาอะไรไปขอคืนได้บ้าง บิลค่าไฟหรอ และถ้าไปลงทุนใน cloud mining ถอนออกคือโดนแน่ๆ 15% ขอคืนไม่ได้
มีรายได้ก็ต้องเสียภาษีครับ ถ้ามองการลงทุนเหมืองขุดเป็นร้านอาหาร ต่อให้ร้านอาหารยังไม่คืนทุน แต่รายได้ที่ลูกค้าจ่ายก็ต้องเสียภาษีซึ่งร้านอาหารก็มีต้นทุนวัตถุดิบเหมือนกัน ถ้ามองเป็นเหมืองก็คือค่าไฟ
ยังไงก็ต้องจ่ายครับเท่าเทียมกับผู้มีอาชีพอื่น
ปล.ถ้าไม่อยากแจกแจงเก็บหลักฐานนู่นนี่ ภาษีคิดเรทเหมาได้ครับ หักต้นทุน 60% ของเงินได้ ตามโครงสร้างภาษีใหม่ฉบับ 2560
ถ้าลงทุนไป100000แล้วถอนออกมาทันทีก็เสียเลย15%หรอครับ
ภาษีจากกำไรครับ ส่วนต่างราคาขาย-ราคาซื้อ
ดูยังไงครับ รอบแรกซื้อห้าพัน รอบสองซื้อห้าพันที่ราคาต่ำกว่ารอบแรกครึ่งนึง รอบสามขายห้าพัน อันนี้เอาส่วนต่างไหนมาคิด?
ถ้าคำนวณแบบเดียวกับหุ้น ปกติใช้ FIFO ครับ
ขอบคุณครับ
ผมไม่รู้กฎหมายบัญชี แต่เข้าใจว่าปกติน่าจะลงบัญชีได้ตามแต่เลือกนะครับ FIFO, LIFO, Weight Average แต่ลงแบบไหนก็ต้องแบบนั้น
lewcpe.com, @wasonliw
ขอบคุณครับ
ตอนนี้ลือกันว่าทางเว็บจะหัก 15% ของยอดถอนเงิน แล้วให้ไปทำเรื่องขอคืนภาษีกันเอาเองครับ
สายเทรด ก็ใช้ข้อมูลใน web trade น่าจเพียงพอเรื่องการคิดกำไร (แต่ให้คิดเองคงเหนื่อยนะ จะFIFO หรือ weight average เพราะตัวเลขมันเป็นทศนิยมเยอะๆนี่แหละ)
แต่สายขุดนีเหนื่อย กฎหมายไม่ได้บอกให้หักต้นทุนการขุดได้ ถ้าโอนมาขาย ก็ถือว่าเป็นกำไรทั้ง 100% เลย
ปกติหัก ณ ที่จ่ายผู้ให้บริการจะหักไปเลยก่อนที่จะคืนเงินกลับมา คงคิดด้วยระบบ ไม่ต้องไปคิดกันเองหรอกครับ
อคติทำให้คนรับเหตุผลด้านเดียว
หมายถึงถ้าจะมานั่งตรวจทานเองด้วยมือน่ะครับ ตัวเลขมึนแน่ๆ
เพราะตอนนี้เวบเทรดไทยยังไม่มีเจ้าไหนมีfeature คำนวณกำไรขาดทุนให้นี่แหละ แต่คิดว่าถ้าจะบังคับนำส่งภาษีหัก ณ ที่จ่าย ก็คงโผล่ feature นี้มาเอง
หวังแต่ว่าการกลั่นกรองจะเข้มงวดจริง ไม่ใช่ปล่อยแบบหุ้นเน่า ๆ ที่ตอนเข้างบสวย แต่พอมาอยู่ในตลาดขาดทุนเละตลอด
ที่จริงมาตรการของไทยนี่ถือว่าเบามาก ลองเทียบกับจีน ที่มองขาดว่าเป็นการเก็งกำไรที่ non-productive แบบเดียวกับบัฟเฟต์ จัดการแบนสนิท ไม่ปล่อยให้ออกมามอมเมาคนในประเทศ และในอีกทางก็สนับสนุนสิ่งที่เป็นการสร้างสรรเพื่ออนาคต เช่น การเอา AI เอาเป็นแบบเรียนให้เยาวชนตั้งแต่ประถม-มัธยม
เทียบกับไทย แค่จะเก็บภาษีของเหล่านี้ ยังดาหน้ากันออกมาต่อต้านเลย ทั้ง ๆ ที่ทุกคนก็รู้อยู่แก่ใจว่ามันเป็นแหล่งใหญ่ของการฟอกเงิน คอรัปชั่น ยาเสพติด สิ่งผิดกฏหมาย ซึ่งไม่ต้องสงสัยเลยว่าถ้าเป็นรัฐบาลอื่นจากนักการเมือง คงปล่อยเสรีไปแล้ว...สวรรค์ชัด ๆ แต่จะเป็นนรกสำหรับประเทศ เหมือนการปล่อยเสรีการไหลของเงินด้วย BIBF ที่เป็นเหตุแห่งต้มยำกุ้งหรือเปล่า อันนี้อีกเรื่อง
เทียบกันแล้วอีกสิบปีข้างหน้า ลูกหลานประเทศไหนจะไม่มีที่ยืนในสังคมโลก คงเดาได้ไม่ยาก...
แหม่ไม่เทียบกับประเทศปชต.ที่เจริญแล้วแบบญ๊่ปุ่น เมกา บ้างล่ะครับ อันนั้นเขาก็เก็บภาษี แต่ก็ยอมรับการใช้งาน ไม่ใช่ เก็บภาษีแต่ห้ามใช้งานแบบบ้านเรา(ในแง่ใช้ในการชำระเงิน)
เขารู้ว่าไม่มีทางปิดหูปิดตาประชาชนได้ตลอดไป เทคโนโลยีมาใหม่ทุกวัน จะปิดกั้นไปตลอดไหวไหม? เลยต้องปรับตัว เพื่อกำกับดูแลเท่าที่ทำได้ตะหาก...
จีนก็แค่กำลังจะทำ crypto currency ของตัวเอง จะได้ควบคุมได้เท่านั้นเอง
ป.ล. พูดยังกับ"ตอนนี้"ไม่มีธุรกิจมืดในไทยอย่างนั้นแหละ ก็แค่เปลี่ยนคนคุม...
บ้านเราห้ามใช้เมื่อไหร่กันครับ?
นั่นสิครับ บ้านเรามีห้ามการใช้งานด้วยเหรอครับ
และผมเห็นที่ออกมาโวยว่าปิดกั้นเทคโนโลยี ส่วนใหญ่มั่วเอาข้อดีของ Blockchain มา ตีขลุมว่าเก็บภาษี ico กับ crypto แล้วจะปิดกั้นเทคโนโลยี ทั้ง ๆ ที่ข้อดีที่พูด ๆ มาทั้งหมดไม่เกี่ยวกับ ico และ crypto เลยแม้แต่น้อย
ชัด ๆ ก็คือ "บ้านเราไม่ได้เก็บภาษี Blockchain" ครับ และแม้แต่จีนก็ไม่ได้ห้ามใช้ blockchain เขาห้ามแต่สิ่งที่จะเป็นภัยต่อประเทศเขา เหมือนที่ฝรั่งเอาฝิ่นมามัวเมาในสมัยก่อน
อีกอย่างผมเห็นมีคนปล่อยข่าวลือว่าจีนแบนเพราะจะทำ crypto เองบ่อยมาก เหมือนกับบอกว่าจีนแบนเงินสกุลอื่น ๆ ของโลกเพราะจะออกหยวน???
เทรนด์ของโลกสุดท้ายยังไงก็ต้องเป็น digital currency แต่มันคนละเรื่องกับ cryptocurrency ตอนนี้ที่กลายเป็นแหล่งเก็งกำไรกัน โดยไม่มี back รองรับ เหมือนเงินตรา
เมื่อวานโควต้าหมด
ผมหมายถึงรับรองในการใช้งานครับ อาจจะใช้คำผิด แบบที่ร้านค้าญี่ปุ่นประกาศรับรองการจ่ายเงินด้วย bitcoin แบบนั้น(แต่กระบวนการจ่ายไม่ใช่การโอนโดยตรง ใช้ผ่าน wallet อีกที) แต่การที่ธปท.ออกมา"ขอความร่วมมือ"กับแบ๊งค์ต่างๆไม่ให้ความร่วมมือเกี่ยวกับธุรกรรมcrypto นี่ถือเป็นการห้ามทางอ้อมได้ไหม?
เรื่องเทคโนโลยี ผมว่าคนในนี้ทราบดีอยู่แล้ว แต่การใช้ crypto currencyเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดของการใช้ blockchain ครับ เพราะเงินเป็นสิ่งที่คนให้คุณค่ามากที่สุดในแง่ของความแข็งแรง และความปลอดภัยเชื่อถือได้
ส่วนจีน ไล่ปิดเวบเทรด กดดันเหมือง นี่ไม่เรียกว่าห้ามแบบเลี่ยงบาลีหรือเปล่า อีกอย่างก็มีข่าวว่าจะพัฒนา crypto currency ของตัวเองมาใช้งานอีกด้วย
อันที่จริงด้วยระบบเก็บภาษีแบบบ้านเรา ทำให้การฟอกเงินง่ายขึ้นด้วยซ้ำนะครับ ก็ในเมื่อถ้าคนธุรกิจเถื่อนยอมจ่ายภาษี 15% เพื่อที่จะได้กลายเป็นเงินขาวสะอาดทันที?
ไม่ได้ตอบผมก็จริง แต่ขอแสดงความเห็นทีละประเด็นละกันครับ
ตามที่คุณเขียนเองว่า "ร้านค้า"ญี่ปุ่นประกาศรับรองการจ่ายเงินด้วย bitcoin ร้านค้าไทยเองก็สามารถประกาศรับรองได้ครับ ไม่มีกฎหมายข้อไหนห้ามไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อม ผมเห็นแวบๆ ว่ามีบางร้านทำด้วยแต่ยังไม่ได้ลองหาดู ส่วนเรื่อง ธปท. "ห้าม" (ผมใช้คำว่าห้ามเลยละกัน) แบงก์ทำธุรกรรม Crypto ถือเป็นการห้ามใช้ Crypto ในชีวิตประจำวันไหม คุณจะมองว่าเป็นการห้ามทางอ้อมก็คงได้ แต่ผมถามตรงๆ ว่าก่อน ธปท. จะประกาศห้าม มีคนนำมาใช้ซื้อของกันจริงๆ จังๆ ในประเทศไทยวันละกี่ธุรกรรม ส่งผลกระทบต่อระบบการชำระเงินอย่างมีนัยสำคัญไหม ดูแล้วมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นในอนาคตไหม (ถ้าถามผม โดยส่วนตัวในชีวิตประจำวันผมว่าไม่) ถ้าในอนาคตแนวโน้มมันมา มีคนใช้จับจ่ายจริงมากขึ้น ธปท.จะเปลี่ยนท่าทีเมื่อไหร่ก็ได้ครับ
มันเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนสำหรับธุรกรรมรายย่อยจริงครับ แต่ธุรกรรมระหว่างสถาบัน ระหว่างแบงก์เช่นพวก L/G บน Blockchain ก็ไม่ได้มีประโยชน์น้อยกว่า และธนาคารหลายแห่งเองก็กำลังพัฒนาอยู่โดยได้รับการอนุญาตจาก Regulators ทั้งหลายเป็นอย่างดีนะครับ
จ่ายหรือไม่จ่ายภาษี ถ้าธุรกรรมน่าสงสัยก็โดนปปง. ตรวจสอบอยู่ดีครับ
การรับรองการรับชำระเงิน คือการรับรองว่าสามารถชำระหนี้ได้โดยไม่ผิดกฎหมายครับ
ของเรามันไม่ค่อยมีคนทำ เพราะตอนนี้ธปท.ยังขู่ว่าจะ freeze บัญชีถ้าพบว่าทำธุรกรรมเกี่ยวข้องกับ crypto ไง
ร้านใหญ่ๆที่ไหนใครจะป่าวประกาศโฆษณาจริงจัง ก็มีแต่ร้านเล็กๆตจว.ติดป้ายหน้าร้าน
ตรงนี้แหละ ถ้าคิดจะเก็บภาษี ก็ควรทำให้เหมือนเขาด้วย จะแจ้งเตือนอะไรก็ว่าไป ข่าวใน blognone ก็ลงประจำ ว่ารบ.ญี่ปุ่นแจ้งเตือน แต่ก็ไม่ห้าม ของเรานี่ขู่แล้วขู่อีก(ขู่ไม่นับว่าเป็นการห้าม?)
private blockchain ผมเห็นเขาทำกันหลายเจ้าevaluate กันตั้งแต่2ปีก่อนแล้วครับ ทำในวงจำกัด แต่คนทั่วไปจะสนใจไหม? ไม่ได้บอกว่าไม่มีประโยชน์ แต่ถ้าไม่มีคนใช้ crypto currency ก็ไม่ทำให้เทคโนโลยีบูมในวงกว้างหรอกครับ
ผมเปรียบเทียบการจ่ายภาษีcrypto เหมือนกระบวนการฟอกรถหนีภาษีด้วยการประมูลครับ มันมีช่องโหว่คล้ายกัน
คุณกำลังเอาสองเรื่อง (ที่เกี่ยวกัน แต่ไม่ทั้งหมด) มาปนกันอยู่นะครับ
การรับรองการชำระเงิน หมายถึงธนาคารกลาง (หรือก็คือประเทศ) ใช้ฐานะประเทศตัวเองรับรองสกุลเงินนั้นๆ (จะ Back ด้วยอะไรก็ว่าไป หรือใช้แค่เครดิตประเทศก็แล้วแต่) คุณถือธนบัตรไทยไปใช้แลกสิ่งของในไทยได้เพราะรัฐบาลไทยรับรองมูลค่าให้ แต่ไม่มีประเทศไหนในโลก "รับรองว่า(Crypto)สามารถชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย" นะครับ แค่มีบางประเทศจัดให้มันเป็นสินทรัพย์ประเภทหนึ่ง เอาเฉพาะแง่ชำระหนี้ก็เหมือนเพชรเหมือนทอง ผู้ซื้อผู้ขายพอใจจะใช้แลกเปลี่ยนกันเองก็ตามสะดวก แต่รัฐไม่เคยรับรองนะ
ถัดมาเรื่อง "ไม่ค่อยมีคนเอามาใช้จ่ายจริง" ถ้าของมันดีจริงมีประโยชน์คุ้มต้นทุน ก็คงมีคนใช้กันแพร่หลายก่อนออกมาประกาศห้ามแบงก์แล้วครับ แล้วก็ถึงจะห้ามแต่ถ้าคุณเปิดบัญชีไว้ซื้อขายหรือเป็นเว็บเทรดเองก็ตาม แล้วแบงก์จับได้เขาก็แค่โทรมาตามคุณไปปิดบัญชีถอนเงินออก ไม่มีสิทธิอะไรมา Hold บัญชีคุณนะครับ
เท่าที่ตามข่าว ธปท. "ห้ามแบงก์" และ "ขู่คนทั่วไป" ครับ เรื่องแบงก์ก็ชัดเจนแหละว่า ธปท. ไม่สนับสนุน ส่วนที่ "ขู่" ผมถามจริงๆ ว่าถ้าแบงก์ชาตินั่งนิ่งๆ ไม่พูดอะไร แล้วมีผู้เฒ่าผู้แก่เอาเงินไปซื้อ BTC เมื่อปลายปีที่แล้วเก็บไว้ใช้หลังเกษียณ ถึงตอนนี้จะให้ไปตอบว่าไงดี? สุดท้าย ธปท. ก็โดนด่าเหมือนกัน จะบอกว่า ธปท. ไปคิดแทนให้ก็ไม่เชิง เพราะสุดท้ายก็ไม่เคยห้าม "ใช้" แค่เตือนเฉยๆ ว่าลงทุนแล้วเสี่ยงนะ ถ้าไม่เข้าใจจริงๆ ก็ไม่ควรซื้อ
ที่ Blockchain มันดูไม่ "บูม" เพราะมันจะมีประโยชน์มากกับงานเฉพาะด้านครับ ผมไม่รู้ว่านิยามความบูมของคุณเป็นแบบไหน แต่แบงก์พาณิชย์ใหญ่ๆ ในไทยก็หันมาศึกษากันครบนะ เอกชนบางธุรกิจ เช่น ขนส่ง ก็เหมือนจะสนใจ แต่ที่มันไม่ไปมากกว่านี้เพราะมันไม่ได้ดีเลิศหรือแก้ได้ทุกปัญหา ใช้ได้กับทุกธุรกิจอะไรขนาดนั้น
การฟอกรถทุกอย่างขึ้นกับศุลกากรครับ เคลียร์ศุลกากรได้ตามกฎเขาคือจบ ส่วน Crypto เป็นเรื่องของสรรพากรกับ ปปง. มันคนละกรณีกัน แต่ผมเห็นด้วยครึ่งๆ นะ ว่าสมมติพ่อค้ายาขายยาแล้วรับ Crypto เสร็จแล้วไปแจ้งว่าขุดเหมืองอยู่ตปท. เอา Crypto ขายเว็บต่างประเทศแล้วแจ้งภาษีที่ไทยปกติ สรรพากรก็คงยิ้มรับประทับตราให้จริงๆ แต่ก็ไม่ได้แปลว่าโอนมาไทยแล้ว ปปง. จะนั่งเฉยๆ นะครับ
ปล. ขอทิ้งท้ายว่า ผมไม่ได้เห็นด้วยกับการที่ ธปท. "ห้ามแบงก์" ทำธุรกรรมนะครับ แต่เข้าใจมุมมองทางนั้น ส่วนเรื่องที่ออกมา "ขู่นักลงทุน" ผมว่าดีแล้ว และเรื่องที่ "Crypto ไม่บูม" ผมว่าไม่เกี่ยวกับการห้ามหรือไม่ห้ามครับ สรุปประมาณนี้
เตือนได้ไม่จำเป็นต้องขู่ คุณคิดว่าคนอื่นนอกจากคุณโง่หมดเลยต้องห้ามไปเลยกลัวเตือนแล้วเขาไม่ฟัง?
อันที่จริงมันมี scam โดยอ้าง blockchain โดยสร้างเหรียญที่ไม่มีอยู่จริง มาขายในระบบ MLM โดนทลายไปหลายเจ้า
การเล่นเทคนิค ห้าม โดยใช้คำขู่แล้วอ้างว่าไม่ได้ห้ามนะ มันดูเหมือนตัวธปท.เองไม่ได้ใช้วิธีตรงไปตรงมาแบบที่ควรจะเป็น แบบนี้ต้องเรียกว่าใช้ระบบมาเฟียหรือเปล่า?
ประเด็นไม่ใช่เรื่องว่า อะไรควรไม่ควร แต่วิธีการมันต้องโปร่งใสครับ ตรงนี้แหละ ที่แนวโน้มของประเทศที่เป็นปชต.และเจริญแล้วต่างกับเผด็จการ (ไม่ได้บอกว่าเป็นแบบนั้นทั้งหมด ผมใช้คำว่า"แนวโน้ม")
อันที่จริงผมเคยเห็น evaluate private blockchain แล้วหลายคนบ่นตรงกัน ข้อเสียข้อใหญ่มาก คือต้องการพลังคำนวณในการ confirm transactionครับ ถ้าเทียบโอนเงินข้ามประเทศมันเร็วกว่า clearing house จริง แต่ถ้าเทียบกับระบบcentralized อื่นๆ(แบบDB ศูนย์กลางหรือ cloud DB) มันช้าและสิ้นเปลืองกว่ามาก มันเลยยังไม่สะดวกในการใช้งานจริง ซึ่งถ้าเป็นแบบสาธารณะก็ไปพึ่ง node เอกชนได้ ซึ่งจริงๆ ถ้ามาดัดแปลงใช้ smart contract ใน crypto currency บางเจ้าก็แก้ปัญหาได้
เรื่องฟอกรถถ้าคุณบอก"เชื่อ"เขาก็จบ ผมก็ไม่รู้จะคุยอะไรต่อ เพราะช่องโหว่ช่องเบ้อเร่อที่หลายคนเห็นแต่แกล้งไม่เห็น เพราะรถที่ถูกประมูลไม่ได้ถูกเสียภาษีตามที่ควรจะเป็นนะครับ ราคาประมูลมันถึงถูกกว่าปกติ รัฐอ้างว่าดีกว่าทำลายทิ้ง แต่ก็ได้เงินไม่เท่ากับการเสียภาษีแบบปกติ ส่วนคนประมูลไป ถ้าเป็นเจ้าของรถเองก็เรียกว่าฟอกรถในราคาถูก และการประมูลรถตัวเอง มันก็ต้องใช้อำนาจมาเฟีย ในการขัดขวางคนอื่นที่แย่งประมูลไปด้วย ตรงนี้แหละที่ผมว่ามันก็ธุรกิจสีเทาๆค่อนไปมืดไม่ต่างจากการค้ายา(ถ้าบอกว่าการเลี่ยงภาษีนำเข้าไม่ผิดเท่าค้ายา ผมก็จะบอกว่ารถที่ถูกประมูลบางคันถูกขโมยจากตปท.ด้วยซ้ำ เคยอ่านข่าวอยู่ ว่าเจ้าของตามมาจนเจอ)
อย่างที่ผมพิมพ์ไปนะครับว่าที่ "ห้ามแบงก์" ผมไม่ได้เห็นด้วย เพราะสุดท้ายมันกระทบนักลงทุนที่ลงทุนโดยเข้าใจความเสี่ยงดีแล้วจริงๆ แต่ที่ออกมา "ขู่คนทั่วไป" (ผมเรียกขู่ให้เหมือนคุณ แต่จริงๆ ผมก็คิดว่ามันคือเตือนนะ) เพราะคุณเองก็บอกว่ามี MLM หลายเจ้า ตั้งแต่สมัย Ufun แล้ว ก็มีคนโดนหลอกอยู่เรื่อยๆ แล้วต่อให้ลงทุนใน Crypto แท้ๆ จริง คนลงทุนที่โดนหลอกลงทุนก็มีเยอะ ถึงมีคนร้องเรียนเรื่องขายประกันเยอะแยะ ทั้งที่ประกันตัว Underlying ยังซับซ้อนน้อยกว่าเลย หน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องออกมาเตือน/ขู่ก็ทำถูกแล้วตามหน้าที่ ถ้าไม่ทำก็หาว่านิ่งเฉยไม่ทำงานอีก
เรื่อง Private Blockchain ก็เห็นตรงกันครับ ว่ามันยังไม่คุ้ม เค้าถึงยังไม่ใช้กัน ไม่เกี่ยวอะไรกับ Cryptocurrency บูมหรือไม่
ผมไม่ได้บอกว่า "เชื่อ" อะไรใครเลยนะครับ ผมแค่บอกว่าคุณจะพูดถึงเคสภาษี Crypto มันไม่สามารถเอาไปเทียบกรณีศุลกากร ที่ศุลกากรหน่วยงานเดียวตั้งกฎเอง ยึดเอง ประมูลเอง ครบจบที่เดียวได้ เคส Crypto ผมถามว่าถ้าสรรพากรโอเคที่ได้รับภาษีแล้ว ปปง. จะไม่ขุดคุ้ยที่มาต่อหรอ มันไม่เกี่ยวกันคนละหน่วยงาน ถ้าธุรกรรมน่าสงสัยก็ (ควรจะ) โดนอยู่ดี แต่ปปง. จะคุ้ยมั้ยก็อีกเรื่อง
ต้องแจงที่มาของเงินได้ครับ ถ้าอยู่ดี ๆ ข้าราชการมีเงินไปเล่นเป็นสิบ ๆ ล้าน ก็ต้องมีที่มาที่ไปของเงิน
นักการเมือง และคนในธุรกิจสีเทา ๆ ถึงออกมาโวยกันเพียบ
เอาจริงๆ ต่อให้ไม่เก็บภาษี จู่ๆ โอนเงินออกจากเวบเทรดตั้งแต่สองล้าน ก็ต้องทำเอกสารแจ้งปปง.อยู่แล้ว เพียงแต่มันยากที่จะชี้แจงว่า ปั่นกำไร crypto มานะ แถมยังเป็นธุรกรรมที่ธปท.ห้ามเสียอีก เผลอๆโดนแช่แข็งบัญชี
แต่ตอนนี้เก็บภาษี ก็เป็นอีกเรื่อง อ้างได้ว่าไปลงทุนทำเหมืองคริปโต จบ ในเมื่อมีการเสียภาษี ก็เหมือนรับรองทางอ้อม
คล้ายๆกรณี เอารถหนีภาษีมาประมูลนั่นแหละ ที่เขาว่า คนปล่อยให้โดนจับ กับคนประมุลคือคนกลุ่มเดียวกัน เสียเงินประมูลอีกรอบรวมแล้วยังถูกกว่าเสียภาษีนำเข้าตามปกติเสียอีก ในมุมนึงคือการฟอกของเถื่อนอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
เอาเงินไปลงทุนทำเหมืองก็ต้องแจงว่าเอาจากไหนไปลงทุนนะครับเวลาปปง.ตรวจ จะยิ่งหนักกว่าเพราะเงินลงทุนทำเหมืองต้องลงก้อนเดียวจำนวนมาก แล้วค่อย ๆ ขุดได้กลับมา ต้องตอบได้ว่าเอาเงินมาจากไหน
และเสียภาษีแล้ว รับรองทางอ้อมนี่ ผมไม่เห็นด้วยครับ เสียภาษีแล้วโดนตรวจสอบย้อนหลังมีมากมาย เสียภาษีแล้วนี่แหละ เช็คย้อนหลังได้
โพสที่เดียวพอครับ
lewcpe.com, @wasonliw
ขออภัยครับ โพสอันนั้นแล้วเพิ่งมาเห็นว่าเขาคุยกันที่ข่าวนี้
ผมมองว่าถ้าเก็บภาษีจากเงินคริปโตพวกนี้ รัฐต้องให้คนเอาเงินคริปโตพวกงนี้มาใช้ประโยชน์อะไรได้ในประเทศด้วยซิ
เอาไปจ่ายค่า ทางด่วน ค่าน้ำ ค่าไฟ ก็ยังดี
ไม่เกี่ยวนะครับ commodity อืนอย่างพวกกองทุนรวมก็เอาไปจ่ายอะไรไม่ได้ก็ต้องเสียภาษีแบบเดียวกันอยู่ดี (10%)
lewcpe.com, @wasonliw
เรื่องของ crypto ที่ขายฝันว่าจะกลายเป็นเงินสากล และราคาจะพุ่งขึ้นไปเรื่อย ๆ นี่ ถ้าคิดให้ดีก็จะรู้ว่าสิ่งที่พูดมัน contradict หรือขัดแย้งกันในตัวอยู่แล้ว มันจะออกมาได้สองแนว
1.เลิกแกว่งตัว การจะกลายเป็นเงินที่ใช้กันจริง นั่นหมายถึงต้องไม่มีการแกว่งตัวอย่างรุนแรง ไม่อย่างนั้นไม่มีร้านค้าที่ทำธุรกิจจริง ๆ ไม่ได้เก็งกำไรหรือทำ marketing จะรับหรอกครับ เพราะโดนแกว่งตัวทีเดียว กำไรหายหมดกลายเป็นขาดทุน ยิ่งขายเยอะยิ่งขาดทุนเยอะ เวลาค้าขายเป็นสกุลเงินต่างประเทศ ถึงต้องมีการ hedge ค่าเงินไว้ตลอด ว่าแต่ถ้าไม่แกว่ง ไม่ขึ้นๆ ลงๆ จะเหลือกี่คนที่สนใจถือ?
ดังนั้น น่าจะเข้าใจและเลิกฝัน ว่ามันจะขึ้นไปเรื่อย ๆ เพราะจะมีคนเอามันไปทำเป็นเงินหลักของโลกได้แล้วครับ มันจะขึ้นก็เพราะมีคนเชื่อว่าจะมีคนมารับไม้ต่อไปเรื่อย ๆ เท่านั้นแหละ เก็งกำไรล้วน ๆ
เอาจริงๆ ตอนนี้มันก็เป็นเงินค่อนข้างสากลนะครับ อย่าง BTC กับ ETH นี่โอนไปประเทศไหนก็ได้เกือบหมด Omise Go จากไทยก็ยังพอไหวอยู่
แต่เอาให้ถึงขั้นเป็นสกุลเงินหลักเลยก็อย่างที่ว่ามานั่นแหละครับ ตัวสกุลเงิน crypto หลักๆ ที่ใช้กันอยู่ตอนนี้อย่าง BTC, ETH มันเลิกแกว่งไม่ได้หรอกครับถ้าใช้เป็นสกุลเงินหลัก ปริมาณมันจำกัดและไม่สามารถทำให้ทุกคนเข้าถึงได้อย่างพอเพียง แค่นั้นมันก็แกว่งแล้ว แต่พอทำแบบ Ripple (ถ้าผมจำไม่ผิดเหรียญนะครับ) ที่ปั๊มเงินออกมาเพื่อประคองค่าเงินให้ค่อนข้างคงที่ได้ก็แบบ แล้วใครจะยอมให้เงินจริงไหลเข้า Ripple รัวๆ กันล่ะ จะเป็นจริงก็คงต้องมีความร่วมมือหลายชาติขนาดใหญ่ไม่ก็รัฐทำเองนั่นแหละมั้งครับ
ประเด็นเรื่อง crypto มีจำกัดจะทำให้มันมีค่าเหมือนทอง ก็เป็นอีกเรื่องที่ผมคิดว่าตลกมาก ฺCrypto จริง ๆ แล้วถ้าคิดให้ดีมันก็คือสิ่งที่มีไม่จำกัดครับ มันปั๊มสกุลใหม่ออกมาได้เรื่อย ๆ ไง ทั้ง bitcoin etheirum ripple ฯลฯ จะเอาอีกกี่หมืนตัวก็สร้างมาได้ง่าย ๆ
ทองที่มีจำกัดก็เพราะไม่มีอะไรอย่างอื่นมาทดแทนได้ ไม่ว่าจะเรื่องความสวยงาม คุณสมบัติที่เฉพาะตัว ฯลฯ ถึงมีธาตุอื่นก็ไม่มีอะไรมาแทนที่ทองได้ ลองนึกดูนะครับว่า ถ้าพรุ่งนี้มีคนบอกว่าสร้างหรือค้นพบธาตุใหม่ที่เหมือนทองทุกอย่างได้ ราคาทองจะเป็นยังไง ยิ่งถ้าสร้างได้ไม่จำกัดล่ะ???
cryptocurrency ที่เทรดกันอยู่และอ้างว่ามันมีจำกัด เช่น bitcoin จริง ๆ แล้วมันจำกัดจริงหรือ และมีคุณสมบัติ และประโยชน์ที่สร้างของที่เหมือนกันไม่ได้จริงหรือ
อันนั้นอย่าไปคิดลึกครับเพราะคนใช้มีทั้งจำเป็นต้องใช้และคนที่ไม่ได้คิดลึกขนาดนั้นไปด้วย อย่างเรื่องประโยชน์ มันใช้แลกเปลี่ยนได้ แค่นั้นพอแล้วครับ จบ มีค่าแล้ว หรืออย่างว่ามีจำกัด BTC มีจำกัดจริงๆ ครับ แต่เฉพาะในสกุลเงินมันนะ จะปั๊มเป็น BCH อะไรออกมานั่นอีกเรื่องแต่คือคนรับเขารับเฉพาะ BTC ไงครับ จะเอาอันอื่นมาจ่ายมันก็ไม่ได้ ความต้องการมันก็เลยไปฝังอยู่กับ BTC
สกุลเงินจริงๆ ก็ไม่ได้ผูกกับทองขนาดนั้นหรอกครับ ตัวเงินเองเอาไปใช้ประโยชน์ตรงๆ ได้ไหม ก็ไม่ได้มีราคาขนาดที่ปั๊มราคาไว้ หรือสร้างมาทดแทนไม่ได้มีจำกัดหรือเปล่า ก็ไม่อีก
อันนี้คิดในระยะสั้นแค่ปัจจุบันครับ ถ้าระยะยาวก็อีกเรื่อง แต่ถ้า crypto currency มันจะแพร่หลายถึงมือคนทั่วไปจริงๆ ผมไม่คิดว่ามันจะเป็นสกุลที่เทรดกันอยู่ปัจจุบัน
ผมอาจพูดไม่ชัด ผมหมายถึงทองคำมีคุณสมบัติที่ไม่มีอะไรลอกเลียนแบบได้ หรือจะมองว่าเป็น barrier of entry ก็ได้
ในขณะที่ bitcoin และ crypto อื่นๆ สร้างมากีตัวมันก็สามารถไล่ทำให้เหมือนกันหมดได้ครับ barrier of entry เป็นศูนย์ ขนาด blognone ยังทำออกมาไล่แจกได้เลย ถึงจะบอกว่าแต่ละตัวมันต่างกัน แต่จุดสำคัญคือ ถ้ามีคนจะทำเลียนแบบให้ไม่ต่างกัน มันทำได้ครัับ ในขณะที่ทองคำทำไม่ได้ไม่ว่าคุณจะทำยังไง
ดังนั้น เหตุผลที่ชอบเอามาใช้ว่ามันทำใหม่ไม่ได้ มันมีจำกัด มันคงไม่ใช่ละ ต้องบอกว่ามันมีจำกัด ตราบใดที่ยังไม่มีคนคิดจะทำเลียนแบบ
อันนั้นคือเทียบกับทองนะครับ แล้วถ้าเทียบกับเงินตราล่ะครับ?
ผมเทียบกับทองให้ดู เพราะสารพัด crypto จะอ้างเสมอว่ามันมีมูลค่า เพราะสร้างได้จำกัดเหมือนทอง ซึ่งมันโม้เห็น ๆ
ถ้าเทียบกับเงินตรา เงินตรามี back คือเศรษฐกิจของประเทศครับ ถ้าเศรษฐกิจเน่าค่าเงินก็จะร่วงเหมือนไทยสมัยต้มยำกุ้งที่ร่วงลงไป 50 บาท /usd ขณะที่ crypto มีอะไรเป็น back? นอกจากขายฝัน และบอกว่ามีจำกัด เทียบกับทอง
ที่จริงคนปั่น crypto นี่ใช้จิตวิทยาที่สูงมาก อย่างกรณีที่ชอบออกมาพูดว่า เงินตรามันเชื่อไม่ได้ ดอลล่าร์ทำ QE ปั๊มเงินออกมาตามใจ ก็คือจับจุดที่คนไม่พอใจสหรัฐและประเทศใหญ่ที่ปั๊มเงินออกมากัน ซึ่งคนส่วนใหญ่รวมทั้งผมก็ไม่ชอบใจ แต่จากนั้นก็โมเมสรุปว่า เอาเงิน เอาทรัพย์สินมาซื้อ Crypto กันเถอะ -*-
ถ้าตีความให้ดี ๆ มันก็คือ บอกว่า ดอลลาร์มันเชื่อไม่ได้ เอาเงินมาซื้อ crypto จาก นาย A นาย B นาย C กันเถอะ...
ขอโทษที ถ้าเป็นผม ยังไงก็เชื่อดอลล่าร์ที่มี back เป็น google facebook amazon microsoft coke boeing ฯลฯ และธุรกิจใหญ่ ๆ อีกมากมาย ที่ผมสามารถเอาดอลล่าร์ไปซื้อเมื่อไหร่ก็ได้มากกว่า มัน amazing มากที่คนเรากล้าเอาเงินที่หามาทั้งชีวิตไปซื้อ cryptocurrency เพราะเชื่อว่ามันมั่นคงกว่าดอลลาร์ บาท เยน ฯลฯ และเหตุผลหลักคือ "เชื่อว่ามันจะขึ้นไปเรื่อย ๆ"
อีกเรื่องคือ bitcoin จะคอยโม้เสมอว่าเอาไปใช้ที่นั่นที่นี่ได้แล้ว พอใช้ได้ที่นึงที ก็เฮป่าวประกาศไปทั่ว เอาจริง ๆ ในโลกมีมีซักคนไหมที่ใช้ bitcoin เป็นเงินหลัก ไม่ต้องใช้เงินอย่างอื่นแล้ว??? มันไม่มีหรอกเพราะจุดที่ใช้ได้ เอาแบบแรง ๆ อย่างญ๊่ปุ่นเลย ผมไปเที่ยวมาหลายครั้ง ไม่เคยเจอที่ใช้ bitcoin ได้เลย แน่นอนว่ามันมี แต่คงมีซัก 10 จาก 1,000,000 ร้าน แต่ประชากร bitcoin จะอ้างเสมอว่าญี่ปุ่นใช้ได้แล้ว?? bitcoin มีมูลค่าดีกว่าเงินบาท เงินกีบ เงินจ๊าด ฯลฯ จริงๆ
ผมเชื่อว่าของดีจะไม่ต้องมาคอยป่าวประกาศหรอกครับ เพราะมันเยอะจนไม่รู้จะประกาศยังไง ถ้ายังคอยตีฆ้องประกาศเวลามีร้านหรือธุรกิจรับซักแห่งสองแห่งนี่..เป็นสัญญานที่ต้องระวัง
เอาเงินจริงไปยัดเข้ามากๆ ก็บึ้มสิครับ ยังไงก็ต้องมีคนที่ถือไว้เยอะมากๆ ตอนเปิด ICO จ้องเทขายอยู่ดี หรือไม่ก็เจ้าของเหรียญ ที่ถือเหรียญที่ไม่ปล่อยมาในตลาดมากกว่าครึ่งเอามาเทแน่นอน Ripple เองเมื่อต้นปีก็เล่นซะจาก 120 บาทเหลือ 15 บาท ก่อนที่จะมาทรงตัวแถว 2x ทีหลัง
ถ้าจะไม่ให้บึ้ม ripple ก็ต้องซื้อคืนแหละครับ เก็บออกจากตลาดเพื่อให้คงตัว
แต่ก็เห็นอยู่ว่าผลจริงๆ เป้นยังไง
"ให้หักไว้ที่ 15% ของกำไร"
แล้วจะรู้ได้ไงว่าเทรดเดอร์แต่ละคนต้นทุนเท่าไหร่ ถ้าซื้อ BTC จากที่อื่นมาขายอีกที่ จะทำยังไง หรือจะนับต้นทุนเป็น 0 เลยมั๊ย หักกัน 15% จากที่ขายได้ไปเลยเต็มๆให้คนหนีไปซื้อขายที่ต่างประเทศเลยรึไง คนร่างกฏหมายนี้ควรจะคิดให้รอบคอบก่อน
ส่วนตัวแล้วมองว่าไม่ควรหักณที่จ่าย ควรให้ Exchange รายงานกำไรขาดทุนกับสรรพากรของแต่ละบุคคลหรือยื่นกันเอง แล้วค่อยหักกันตอนนั้น
ปล. 15% มันก็เยอะไปนะ เงินทุนต่างประเทศที่เข้ามาซื้อขายในไทยก็ไม่น้อย แทนที่จะเป็นมิตรแบบไทยแลนด์ 4.0 แต่กลับทำตัวถอยหลังลงคลองแบบ 0.4
หักณ ที่จ่ายมันขอคืนได้อยู่แล้วนี่ครับ เรื่องหักมากไปคงไม่ใช่ปัญหา ปัญหาคือผู้ลงทุนต้องทำบัญชีเองมากกว่า ตรงนี้ผมมองว่าก็เป็นภาระของผู้ลงทุนอยู่แล้วไม่ว่าจะหักก่อน ขอคืนทีหลัง หรือลงบัญชีแล้วค่อยไปจ่ายทีหลัง ยกเว้นว่าจะตั้งใจจะไม่จ่าย ไม่ลงบัญชีแต่แรก
การให้ exchange รายงานกำไรขาดทุนของผู้ใช้ทุกคนกลายเป็นว่าต้องสร้างภาระและผลักความรับชอบทั้งหมดให้ exchange แทน กลายเป็นว่าต้องออกกฎหมายมาควบคุม exchange มากขึ้น เพราะภาระและความรับผิดชอบจะกลายเป็นเหมือนตลาดหลักทรัพท์ ตรงนี้ exchange ไม่น่าจะไหวครับ
Russia is just nazi who accuse the others for being nazi.
someone once said : ผมก็ด่าของผมอยู่นะ :)
อย่างน้อยทาง Exchange ก็น่าจะออกเอกสารประวัติการทำธุรกรรมทั้งปีได้นะครับ แปลงเป็นค่าเงินบาทในกรณีที่นำเข้าเป็นค่า Cryptocurrency (ETC, ETH ฯลฯ) ให้พร้อมแยกประเภทการทำธุรกรรม ออกเป็นฟอร์มที่สามารถแนบและไปยื่นให้กับสรรพากรได้เลย น่าจะดีกว่าให้รายงานกำไรหรือขาดทุนนะ
ส่วนกรณีที่ทาง Exchange หัก 15% ทันที่ตอนถอนออก มันควรที่จะใช้อ้างอิงให้กับศุลกากรได้อยู่นะ เพราะมีแนบในใบรายงานการทำธุรกรรม หากทาง Exchange จะใช้วิธีนี้กับลูกค้าเลย (จำนวนเงินที่ถอน - ค่าธรรมเนียม - ภาษี ณ ที่จ่าย 15%) มันจะง่ายกว่าทั้งลูกค้าและ Exchange ด้วย รวมถึงสรรพากรที่จะตรวจสอบได้ง่ายด้วย
กฎหมายนี้ สายขุดอย่างผมน่าจะหน่วมเอาเรื่อง เพราะมันแทบไม่มีรายจ่ายเลย มีแค่นำค่าที่ขุดได้เข้าและแลกเป็นเงินบาท และมันสร้างแง่ลบให้กับภาษีและตัวสรรพากรมากพอสมควรด้วย ทั้งสายแลกเปลี่ยนและสายขุด เพราะปริมาณที่เก็บ มองว่ามากไปหน่อย ถ้าเป็นเก็บที่ 5-10% ยังยอมรับได้หน่อย
ความล้มเหลว คือจุดเริ่มต้นสู่ความหายนะ มีผลกระทบมากกว่าแค่เสียเงิน เวลา อนาคต และทรัพยากรที่เสียไป - จงอย่าล้มเหลว
ถ้าอิงตามคห.นี้ก็ไม่ใช่ว่าจะโดน 15% นี่ครับ? แต่ถ้ารายได้มันสูงจนถึง 15% แล้วนั่นก็เป็นหน้าที่ที่ต้องจ่ายอยู่แล้วหรือเปล่า
ถ้าจัดตั้งเป็นบริษัท ทำงบเอารายจ่ายค่า Rig ไปลงเป็น Fixed Cost ตัดค่าเสื่อม + ค่าน้ำไฟเนท ก็จะเหลือแต่กำไรที่แท้จริงนะครับ
ฝั่งลงทุนตอนแรก ก็ลงทุนเรือนหุ้นสัก 10,000 บาท ที่เหลือเป็นเงินกู้ยืมจากเจ้าของ แล้วคิดดอกเบี้ยบริษัทตัวเองให้ปริ่มๆ กำไรเหลือนิดเดียวให้เสียภาษีธุรกิจนิดเดียวก็ได้ครับ แต่ดอกเบี้ยที่รับมาก็ต้องจ่ายภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาด้วยนะครับ ลองคำนวณดีๆ ว่าแบบไหนคุ้มกว่าครับ
รายจ่ายคิดจากค่าเสื่อมราคาก็ได้นี่ครับ
edit: พึ่งเห็นว่าเงินได้อยู่ในหมวด 40(4) ถ้าแบบนั้นคงหักไม่ได้ครับ คงต้องทำนิติแบบคุณ Holy ว่า
Russia is just nazi who accuse the others for being nazi.
someone once said : ผมก็ด่าของผมอยู่นะ :)