Tags:
Node Thumbnail

เดลล์ได้จัดงาน Dell Technologies World 2018 ซึ่งเป็นครั้งแรกของการใช้ชื่องานนี้ (ปีก่อนใช้ชื่อว่า Dell EMC World) เพื่อสะท้อนยุทธศาสตร์ของเดลล์ที่ต้องการนำเทคโนโลยีมาใช้ ในระดับ end-to-end ทั้งหมดภายใต้เครือของ Dell Technologies

สำหรับเนื้อหาของงานวันแรก เป็นการนำเสนอภาพรวมในระดับองค์กร และจับประเด็นสำคัญบางอย่าง ที่เดลล์มองว่าเป็นโอกาสใหม่ๆ ซึ่งจะช่วยให้ลูกค้าเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัล (Digital Transformation) ได้ตามยุทธศาสตร์ของเดลล์ มีประเด็นน่าสนใจดังนี้ครับ

สู่ยุคของข้อมูลและ AI

alt="Michael Dell"

ซีอีโอ Michael Dell กล่าวเปิดงานโดยบอกว่าวิสัยทัศน์ของเดลล์คือการนำเทคโนโลยี เป็นตัวขับเคลื่อนสิ่งใหม่ๆ สำหรับผู้คน องค์กรยุคนี้ต้องกำหนดยุทธศาสตร์ด้านเทคโนโลยี ซึ่งมีความสำคัญระดับยุทธศาสตร์องค์กร โลกในยุคนี้เป็นเรื่องของข้อมูล (Data) แต่ความท้าทายคือเราต้องการใช้ข้อมูลเหล่านั้นให้ได้ทั้งความเร็วและขนาด (Speed & Scale) นำมาซึ่งความต้องการเทคโนโลยีอย่าง AI และซอฟต์แวร์จัดการข้อมูลต่างๆ

สไลด์ด้านล่างนี้ Dell พูดถึงวัฏจักรของธุรกิจในยุคถัดไปที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล เมื่อธุรกิจมีข้อมูลก็พัฒนาสินค้าที่ตรงความต้องการลูกค้ามากขึ้น พอลูกค้ามากขึ้น ข้อมูลที่มากขึ้นก็จะไหลกลับมาหาธุรกิจ สิ่งเหล่านี้ทำให้ธุรกิจจะต้องรับมือกับข้อมูลที่มากขึ้นและต้องการความเร็วที่มากขึ้น วนเวียนเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ เปรียบเทียบได้ว่า AI คือจรวด ที่ต้องการข้อมูลเป็นเชื้อเพลิงในการขับเคลื่อน

alt="Data"

ตัวเลขที่น่าสนใจคือข้อมูลจะถูกสร้างขึ้นมาจำนวนมหาศาลมากขึ้น เดลล์ประเมินว่าในเมืองๆ หนึ่ง สามารถผลิตข้อมูลได้มากขึ้น 200PB ต่อวันภายในปี 2020 ซึ่งสาเหตุมาจากอุปกรณ์ IoT ทั้งหลายที่เก็บข้อมูลทุกอย่าง (ประเมินว่า 99% ของข้อมูล 200PB มาจาก IoT ที่คนสร้างเองมีแค่ 1%) ทำให้สิ่งที่ต้องการตามมาคือ หน่วยความจำ, การประมวลผล และโครงสร้างพื้นฐานที่สามารถรองรับได้

alt="200PB per day"

ช่วงถัดมา Alison Dew หัวหน้าฝ่ายการตลาดคนใหม่ของเดลล์ที่เพิ่งรับตำแหน่งไม่ถึงหนึ่งเดือน มานำเสนอข้อมูลจาก Dell Technologies Institute ที่ทำการสำรวจมุมมอง เนื่องจากเราเห็นการเปลี่ยนผ่านยุคดิจิทัลที่ disrupt หลายอย่าง พบว่า 48% ไม่แน่ใจว่าอุตสาหกรรมที่ตนอยู่ใน 3 ปีข้างหน้าจะเป็นอย่างไร แต่เดลล์เชื่อว่ายุคหน้าจะเป็นยุคของคนและเครื่องจักรร่วมมือกัน

alt="Alison Dew"

มุมมองที่น่าสนใจคือ 50% เชื่อว่าเครื่องจักรจะทำให้พวกเขามีเวลาว่างมากขึ้น ส่วน 49% มองว่าเครื่องจักรจะเข้ามาช่วยให้ประสิทธิภาพทำงานสูงขึ้น นอกจากนี้ผลสำรวจ 82% ยังบอกว่าภายใน 5 ปีข้างหน้า องค์กรต้องการเปลี่ยนผ่านเป็นองค์กรที่กำหนดด้วยซอฟต์แวร์ (Software-Defined) ซึ่งเป็นที่มาของกลยุทธ์เดลล์ที่จะนำเสนอถัดไป

Michael Dell กับมุมมองเรื่อง AI

ใน Session ถัดมา เป็นการถามตอบกับ Michael Dell ในประเด็นต่างๆ มีหลายคำถามที่น่าสนใจดังนี้

alt="Michael Dell"

Dell ตอบคำถามถึงความกังวลต่อพลังของ AI (ในคำถามมีการอ้างถึง Elon Musk ที่บอกว่า AI อันตรายกว่าอาวุธนิวเคลียร์) ซึ่ง Dell มองว่าเมื่อคนกลัว คนก็จะอยากให้มีการควบคุม ซึ่งก็อยู่ที่พวกเราทุกคนว่าต้องการแบบไหน เขาเปรียบเทียบกับอดีตที่มนุษย์ค้นพบไฟครั้งแรก ตอนนั้นคนก็กลัวในพลังของไฟ แต่สุดท้ายเราก็หาประโยชน์จากมันได้ และก็หาโทษจากมันได้ อยู่ที่จะใช้ทำอะไร จากนั้น Dell ยกตัวอย่างที่หนักกว่าคือการค้นพบล้อ เขาบอกว่าล้อทำให้คนจำนวนมากตกงาน แต่สุดท้ายล้อก็เป็นสิ่งจำเป็น ที่เราควรทำคือหยุดคนเพียง 1-2% ที่พยายามนำสิ่งใหม่ๆ ไปใช้ในทางที่ไม่ถูกมากกว่า

เขาบอกว่าวันนี้ AI ก็เหมือนอินเทอร์เน็ตในยุค 90 ทุกคนรู้ว่าดี แต่ก็ไปสนใจที่ข้อเสียของมันและกังวลมากเกินไป

จากนั้นเป็นคำถามเรื่องเทคโนโลยี 5G ซึ่งมีมุมมองน่าสนใจว่า หากดูแนวโน้มความต้องการเทคโนโลยีสมัยใหม่นั้น 5G ก็ดูจะไม่เพียงพอด้วยซ้ำ หากรถยนต์บนโลกเพียง 1% เป็นรถยนต์อัตโนมัติระดับ 4 จะมีการสร้างข้อมูลจากรถออกมาถึง 4TB ต่อวัน ซึ่งเทคโนโลยี 5G ก็ยังไม่เพียงพอ แถมยังไม่รวมถึงหน่วยความจำ NAND ที่จะเป็นที่ต้องการมากขึ้นอีก Dell บอกว่าที่น่าสนใจคือหลายประเทศในโลกตอนนี้มีอุปสรรคในการไปสู่ 5G เพราะว่าบริษัทต่างไม่มีเงินจะลงทุนขยายโครงข่ายแล้ว จึงเป็นเรื่องท้าทายในอนาคตที่เดลล์จะร่วมหาทางออกด้วยกัน

คุยกับผู้บริหาร - ตลาดเอเชีย และทิศทางของ SDN

alt="Amit Midha"

Blognone ได้มีโอกาสสัมภาษณ์คุณ Amit Midha ประธานฝ่าย Commercial ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิคและญี่ปุ่น (APJ) ซึ่งดูแลภาพรวมในภูมิภาค โดยคุณ Amit ย้ำตามยุทธศาสตร์เดลล์ว่า ข้อมูลและเทคโนโลยีคืออนาคต ซึ่งเดลล์จะเข้ามาช่วยทำให้สิ่งเหล่านี้เป็นไปได้และเป็นได้จริง ตามสโลแกนงานปีนี้ที่ว่า Make It Real (และคุณ Amit แถมท้ายว่า Make It Happen ด้วย)

เขามองว่าโอกาสในภูมิภาคนี้คือการสร้างเมืองดิจิทัล (Digital City) ซึ่งในนิยามของเขาคือเมืองที่เป็นฮับของการสร้างสรรค์นวัตกรรม มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี เป็นเมืองที่ใครก็อยากมาอยู่ เป็นเมืองที่คนรุ่นใหม่และคนมีฝีมือสนใจมาอยู่ ซึ่งการไปให้ถึงจุดนั้นหน่วยงานรัฐต้องอำนวยความสะดวก ให้คนได้ลองทำสิ่งต่างๆ (Ease to do Business) มีการเก็บข้อมูลด้วย IoT มีการนำ AI มาใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล

คุณ Amit มองว่าในเอเชียมีเมืองกว่า 100 แห่งที่สามารถเป็น Digital City ได้ (รวมทั้งไทยด้วย ซึ่งเติบโตมากจากอีคอมเมิร์ซ) แต่ทั้งนี้เขาบอกว่าตัวเลข 100 นี้ ยังไม่ได้รวมประเทศจีน ซึ่งที่นั่นมีเมืองที่มีโอกาสเยอะมาก

เห็นเดลล์พูดถึงแต่งานระดับองค์กรและโครงสร้างพื้นฐาน ก็เลยถามถึงตลาด Consumer ซึ่งได้คำตอบว่าตลาดนี้เป็นตลาดที่ใหญ่มาก และเดลล์ยังไม่มีแผนจะออกจากตลาดนี้แน่นอน ดูได้จากผลิตภัณฑ์ล่าสุดอย่าง XPS13 ที่เดลล์ลงทุนด้านการออกแบบ, สินค้าตระกูล Alienware ก็ยังคงพัฒนาต่อเนื่อง

alt="Jeff Baher"

ช่วงถัดมาเราได้สัมภาษณ์คุณ Jeff Baher ซึ่งเป็น Senior Director ด้านผลิตภัณฑ์และเทคนิคการตลาด ของกลุ่มผลิตภัณฑ์โซลูชันเครือข่าย โดยเดลล์มีมุมมองต่อ Open Network ว่าจะเป็นสิ่งที่เปลี่ยนโลกของเครือข่ายไปทั้งหมด ซึ่งเป็นสิ่งที่เดลล์ลงทุนไปตั้งแต่ปี 2014 โดย Open Network จะรองรับทุกการเชื่อมต่อตั้งแต่ระดับภายในศูนย์ข้อมูล, ข้ามศูนย์ข้อมูล, การเชื่อมต่ออุปกรณ์สมัยใหม่

เดลล์มองว่าใน 24 เดือนข้างหน้า เราจะเห็นผลิตภัณฑ์ด้าน Open Network มากขึ้นถึง 75% ซึ่งเป็นการกำหนดที่ระดับซอฟต์แวร์ (Software Defined Network) และเดลล์ก็มี VMWare ที่รองรับสิ่งเหล่านี้แล้ว

เมื่อถามถึงความยากลำบากในการเปลี่ยนแปลง คุณ Jeff อธิบายให้เห็นภาพว่า อุปกรณ์ Open Network นั้นใช้พื้นที่น้อยกว่า และปรับแต่งให้ตรงความต้องการของฝั่งนักพัฒนาแอพได้รวดเร็วมากกว่า เขามองว่าภาพของการจัดการองค์กรไอทีในยุคหน้า (เรียกว่ายุค Virtualization) การแบ่งบทบาทของคนที่เกี่ยวข้องกับศูนย์ข้อมูลจะเปลี่ยนไป จากเดิมที่เป็น Network, Systems, Database, Storage จะกลายเป็น Administrator, Cloud Administrator, DevOps, Infrastructure แทน ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดพร้อมกับการมาของ Open Network

Get latest news from Blognone

Comments

By: panurat2000
ContributorSymbianUbuntuIn Love
on 1 May 2018 - 15:27 #1047367
panurat2000's picture

(ในคำถามมีการอ้างถึง Elon Mush ที่บอกว่า AI อันตรายกว่าอาวุธนิวเคลียร์)

Elon Mush => Elon Musk

By: lingjaidee
ContributoriPhoneAndroid
on 2 May 2018 - 10:12 #1047457
lingjaidee's picture

ไม่เหมือนข่าว เหมือนบทความเลยครับ สนุกมาก ^^


my blog